เรซ อ็อกดาล หนุ่มน้อยวัย 16 ปีชาวอเมริกันจากโอคลาโฮมา เกือบจะต้องเสียชีวิตอย่างคาดไม่ถึงจากเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่คุ้นเคยดี

กลางดึกของวันที่ 30 เม.ย. 2567 แดเนียล เดวิส วัย 38 ปี แม่ของ อ็อกดาล ได้ยินเสียงลูกชายของเธอร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่นจากห้องนอนของเขา จากนั้นเธอก็เจอลูกชายยืนอยู่ตรงโถงทางเดินในบ้านโดยที่รอบคอของเขามีรอยไหม้อย่างน่ากลัว

เรซบอกเธอว่าเขาโดน “ไฟช็อต” จากสร้อยคอที่เขาสวมอยู่ เพราะสร้อยเส้นนั้นบังเอิญไปสัมผัสโดนขาปลั๊กเปลือยที่เสียบคาปลั๊กพ่วงอยู่

เดวิส เล่าว่าลูกชายของเธอกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงในตอนที่เกิดเหตุ เขาได้ยินเสียงของตกจากเตียง ก็เลยชะโงกตัวลงไปดู เพราะห่วงว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟไว้

จังหวะที่เขาโน้มตัวลงจากเตียงนั้นเองที่สร้อยคอของเขาบังเอิญไปโดนเข้ากับขาปลั๊กของสายชาร์จโทรศัพท์มือถือซึ่งขยับออกจากเต้ารับ แต่ยังเสียบคาอยู่กับปลั๊กพ่วงข้างเตียง สร้อยของเขาทำจากโลหะ จึงเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้ดี 

กระแสไฟฟ้าจึงพุ่งเข้าร่างหนุ่มน้อย ซึ่งทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมากรอบคอ แต่เขายังมีสติพอที่จะดึงสร้อยออกจากคอตัวเอง ซึ่งทำให้มือของเขาไหม้พองไปด้วย

หลังจากที่แกะสร้อยออกจากลำคอของ เรซ ออกไป ก็พบรอยไหม้ที่น่ากลัวรอบลำคอ มองเห็นเป็นลวดลายของสร้อยบนผิวของเขาอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ หลังจากที่ เรซ กระชากสร้อยออกจากคอ มันก็ตกลงบนเตียงที่เขานอนเล่นอยู่ในตอนเกิดเหตุ ซึ่งปรากฏว่าตัวจี้ห้อยคอรูปกางเขนนั้นทำให้เกิดรอยไหม้บนฟูกทะลุลงไปเป็นความลึกถึง 3 นิ้ว

เรซ ถูกส่งตัวไปยังแผนกฉุกเฉินของคนไข้แผลไฟไหม้ในโรงพยาบาล อินทิกรีส เฮลท์ แบบติสท์ ในเมืองโอคลาโฮมา ซิตี ซึ่งทีมแพทย์ได้สั่งให้เขาเข้าไปอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตในทันที เพราะบาดแผลไฟไหม้ของเขาสาหัสมากมีทั้งระดับ 2, 3 และ 4 ซึ่งแม้เมื่อรักษาหายแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้

ทีมแพทย์บอกครอบครัวของวัยรุ่นหนุ่มว่า เรซ โดนกระแสไฟผ่านร่างในปริมาณที่รุนแรงมากพอที่จะทำให้เขาตายได้เลย นอกจากนี้ เรซ ยังอาจจะต้องรับการปลูกถ่ายผิวหนังด้วยในอนาคต

เดวิส และลูกชายของเธอกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาระมัดระวังเพิ่มขึ้นอย่างมากเกี่ยวกับการใช้ปลั๊กไฟและสายไฟในจุดที่อยู่ใกล้กับเตียง เดวิส กล่าวว่าเธอ ลูกชายของเธอโชคดีมาก เพราะเขาอาจตายได้อย่างง่ายดายในคืนนั้น นับว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่หลังจากโดนไฟช็อตแล้ว เขายังครองสติไว้ได้และออกจากห้องมาขอความช่วยเหลือจากครอบครัว

ที่มาและเครดิตภาพ :  dailymail.co.uk