สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ว่า นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ผู้นำคนใหม่ของสิงคโปร์ กล่าวในช่วงหนึ่งระหว่างการแถลงสุนทรพจน์ รับตำแหน่งผู้นำรัฐบาลคนที่ 4 ของสิงคโปร์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ว่าการบริหารประเทศนับจากนี้ “จะเป็นไปตามแนวทางของตัวเอง” ซึ่งแตกต่างจากยุคก่อน โดยจะเป็น “การมองไปข้างหน้าเพื่ออนาคตของสิงคโปร์”
ขณะเดียวกัน หว่องกล่าวว่า สิงคโปร์อยู่ท่ามกลาง “โลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการเป็นคู่แข่งขัน” จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การกีดกันทางการค้า และอุดมการณ์ชาตินิยม ดังนั้น สิงคโปร์ต้องเข้าใจความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้น และปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความรุนแรง
This is my promise to all Singaporeans: I will serve you with all my heart, and always strive to make tomorrow better than today.
— Lawrence Wong (@LawrenceWongST) May 15, 2024
My mission is clear: to continue defying the odds and to sustain this miracle called Singapore! pic.twitter.com/xhihzBVd8z
การรับตำแหน่งของหว่องเกิดขึ้น หลังนายลี เซียน ลุง ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อประธานาธิบดีธาร์มัน ชันมูการัตนัม หลังปฏิบัติหน้าที่ยาวนาน 20 ปี อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ ลี วัย 72 ปี จะไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอาวุโส ซึ่งเป็นตำแหน่งสำหรับอดีตนายกรัฐมนตรี หรืออดีตรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ และตำแหน่งรัฐมนตรีอาวุโส ถือเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน และทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน
อนึ่ง นับเป็นครั้งที่สองเท่านั้น ในประวัติศาสตร์การเมืองของสิงคโปร์ ที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไม่ได้มาจาก “ตระกูลลี” โดยผู้นำรัฐบาลคนแรกที่ไม่ใช่บุคคลในตระกูลนี้ คือนายโก๊ะ จ๊ก ตง ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2533-2547 ต่อจากนายลี กวน ยู หลังจากนั้นนายลี เซียง ลุง บุตรชายนายลี กวน ยู ขึ้นสู่อำนาจตั้งแต่ปี 2547 และมีการประกาศเมื่อปี 2565 ให้หว่อง ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง เป็นทายาทการเมือง
นอกจากการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว หว่องดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคกิจประชาชน (พีเอพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ต่อจากลีด้วย โดยสิงคโปร์มีกำหนดจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ในเดือน พ.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์เช่นกัน ว่าอาจมีการยุบสภา และจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดในปีนี้.
เครดิตภาพ : AFP