เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 16 พ.ค. 67 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ยื่นหนังสือต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ผ่านนายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับหนังสือ เพื่อแสดงเจตนารมณ์การรวบรวมรายชื่อประชาชนถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.คนหนึ่ง
โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่แสดงออกถึงพลังประชาชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญยื่นถอดถอนกรรมการองค์กรอิสระ เพราะที่ผ่านมา มีแต่การเข้ายื่นเสนอแก้ไขกฎหมาย การยื่นหนังสือครั้งนี้ เป็นการคิกออฟแสดงเจตนารมณ์เริ่มต้นนับ 1 รวบรวมรายชื่อประชาชน ตนจะลงชื่อเป็นคนแรก ยื่นกล่าวหากรรมการ ป.ป.ช.คนหนึ่ง ที่มีพฤติการณ์ต้องสงสัยทุจริตต่อหน้าที่ ร่ำรวยผิดปกติ และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 ระบุว่ากรณีเจ้าหน้าที่องค์กรอิสระมีพฤติการณ์ทุจริต ประชาชนสามารถยื่นรายชื่อ 20,000 คน ต่อประธานรัฐสภา ให้เสนอเรื่องต่อประธานศาลฎีกา เพื่อตั้งคณะกรรมการอิสระมาไต่สวนองค์กรอิสระได้ จะเริ่มล่าชื่อในวันที่ 17 พ.ค. 67 เวลา 08.00 น. ที่ร้านกาแฟของตน จ.สงขลา และช่วงบ่ายที่ จ.พัทลุง และวันที่ 18 พ.ค. นี้ ไปล่าชื่อที่ จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นไปที่ จ.เชียงใหม่ อุดรธานี ชลบุรี ขอนแก่น คาดว่า ใช้เวลา 2 สัปดาห์ จะรวบรวมรายชื่อเกิน 20,000 คนแน่นอน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ส่งข้อมูลเกี่ยวกับกรรมการ ป.ป.ช. คนดังกล่าวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ใครอยากรู้กรรมการ ป.ป.ช. คนนี้มีพฤติการณ์อย่างไร ให้ไปถามเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้ เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้องค์กรอิสระทำหน้าที่ตรงไปตรงมาเพื่อประชาชน ถ้าไม่ทำหน้าที่ตรงไปมา พลังประชาชนจะเข้ามาทำงานแทน วันนี้ยังไม่ทันได้เริ่มล่ารายชื่อ ก็มีหลายคนติดต่อเข้ามาจะลงชื่อด้วยจำนวนมาก กรณีอื่นใช้เวลา 7-8 เดือน รวบรวมรายชื่อ แต่ของตนมั่นใจ 2 สัปดาห์ จะได้รายชื่อครบ 2 หมื่นคนแน่ เมื่อรวบรวมรายชื่อได้ครบ จะมายื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาอีกครั้ง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป นอกจากการตั้งโต๊ะล่าชื่อแล้ว ยังเปิดเว็บไซต์ HAKPARN.COM ให้ร่วมลงชื่อได้ง่ายขึ้นด้วย ภายใต้ชื่อปฏิบัติการกวาดบ้านให้ ป.ป.ช. ภายในเว็บไซต์ดังกล่าว จะบอกรายละเอียดเหตุผล พฤติการณ์ความผิดของกรรมการ ป.ป.ช. คนดังกล่าว ที่ทำให้ประชาชนต้องเข้าชื่อถอดถอน ยืนยันการยื่นตรวจสอบครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะมีความขัดแย้งส่วนตัว
“พอผมมาเปิดประเด็นวันนี้ ผมไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จะไปเยาวราชช่วงเย็นหรือไม่ ไปซื้อประทัด กลัวว่า วันนี้ประทัดจะหมดเยาวราช” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 7 มีคำพิพากษายกฟ้องชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ อดีตรอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ ลูกน้องคนสนิท พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นโจทก์ฟ้องตำรวจชุดเข้าค้นบ้านพักใน อ.เมือง จ.นครปฐม เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ จะมีผลต่อการพิจารณาเรื่องการกลับมาสู่ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดที่ลูกน้องตนไปดำเนินการยื่นฟ้องเรื่องใด ส่วนจะมีผลต่อการพิจารณาการกลับมาดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. หรือไม่ ถือเป็นคนละเรื่องกัน กรณีคำพิพากษาศาลดังกล่าวเป็นเรื่องคดีอาญา แต่การพิจารณากลับสู่ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. เป็นเรื่องของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกระแสข่าวการสนใจลงสมัคร สว. ว่า ยังไม่ตัดสินใจ ขอดูรายละเอียดก่อน การสมัคร สว. ได้ ต้องเป็นข้าราชการ แต่วันนี้ยังเป็นข้าราชการอยู่ เป็นรอง ผบ.ตร. อยู่ เพียงแต่ ผบ.ตร. ไม่มอบงานให้ หลักง่ายของตนคือ อยู่ตรงไหนแล้วทุ่มเททำประโยชน์ แก้ไขปัญหาความทุกข์ให้ประชาชนได้มากที่สุด ก็ทำตรงนั้น เมื่อถามว่าการสมัคร สว. คู่แข่งมีจำนวนมาก จะพิจารณาอย่างไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบว่า เดี๋ยวไปดูอีกครั้ง มองว่าทุกอย่างต้องยึดพลังประชาชน ไม่มีอะไรผ่านพลังประชาชนไปได้ บ้านเมืองปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ต้องยึดหลักประชาชน การทำงานต้องไม่เอาเปรียบประชาชน ให้ประชาชนรับรู้ไปพร้อมเรา ถึงจะปิดอย่างไรก็ปิดไม่ได้ บ้านเมืองเรามีโซเชียลมีเดียเต็มไปหมด.