เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 67 กระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวหลังหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ได้พูดคุยกันนานกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่นดี โดยเป็นการพูดคุยสร้างความเข้าใจทางเศรษฐกิจ ซึ่งมี 2 เรื่องใหญ่ คือ การกำหนดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ ธปท. มีอิสระที่จะใช้วิจารณญาณ เพื่อดำเนินนโยบายตามเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตกลงกันไว้ ส่วนในปีนี้จะมีการปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อหรือไม่นั้น ต้องมีการติดตามข้อมูล และวิเคราะห์กันต่อ

ส่วนอีกปัญหาใหญ่ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยทั้งคลังและแบงก์ชาติเห็นตรงกันว่า เมื่อมีการปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ตามที่ตกลงกันก็นำไปสู่การพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะปัจจุบันปัญหาของประชาชนที่รัฐบาลเป็นห่วง คือ การไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่กว่าดอกเบี้ย ฉะนั้น ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงหรือต่ำ การที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำคัญกว่า     

“วันนี้ที่ได้มีการพูดคุยกัน มีการแลกเปลี่ยนกันหลายเรื่อง ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร กลุ่มที่ควรมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย อาทิ นักธุรกิจรายใหญ่ ซึ่งมีโอกาสเข้าถึงแล้ว ควรมีทางเลือกให้รายย่อย เอสเอ็มอีเข้าถึงได้ด้วย รวมทั้งกลุ่มที่ปัญหาหนี้จากช่วงโควิด ซึ่งสามารถปรับให้มีความยืดหยุ่นช่วยเหลือให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น”

นายพิชัย กล่าวว่า คลังมองว่าอาจต้องเพิ่มความยืดหยุ่นในบ้างข้อเพื่อช่วยปล่อยสินเชื่อให้รายย่อย ซึ่งเป็นการดึงออกมาจากพอร์ตสินเชื่อโดยรวมเล็กน้อยเท่านั้น โดยพอร์ตแต่ละแบงก์มีประมาณ 4 ล้านล้านบาท เชื่อว่าไม่กระทบเรื่องการปล่อยสินเชื่อตามเกณฑ์ปกติ โดยทางผู้ว่าการ ธปท. เห็นด้วยกับปัญหาขาดสภาพคล่องของรายย่อย ส่วนนี้ก็คงต้องมานั่งคุยกัน โดยคลัง และ ธปท. ก็กำกับสถาบันการเงินเช่นเดียวกัน ก็จะช่วยลงไปดูรายละเอียดเพิ่ม

“เรื่องดอกเบี้ย ธปท. ต้องมีการทบทวน แต่ ธปท. ก็มีอิสระทางความคิด เพื่อให้ออกมาดีที่สุด แต่เรื่องเร่งด่วนที่ต้องมามองมากกว่าเรื่องนี้ คือ เรื่องหนี้เสีย สภาพคล่องที่คนไทยยังเข้าไม่ถึง และหนี้ภาคครัวเรือน โดยหลังจากนี้เราก็คงมาคุยกันบ่อยขึ้น แต่จะเป็นเมื่อไรขอเวลาทำงานก่อน แต่ถ้ามีความคืบหน้าใกล้เคียง จะมีการนัดคุยกันอีก ซึ่งโดยส่วนตัวเรา 2 คนต่างรู้จักกันดี ผมเป็นกรรมการหลายแห่งก็เจอกัน ท่านเป็นคนเก่ง เมื่อคุยกันแล้ว เราต่างพร้อมใจที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อส่วนรวม เพื่อให้นโยบายการเงิน และการคลังจะต้องสอดประสานกันมากที่สุด”