เรียกว่าใส่เกียร์ 5 เต็มที่! สำหรับการปราบ “โจรออนไลน์” ตามข้อสั่งการของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)   ร่วมกับ ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ระยะที่ 2 ต่อเนื่องจากระยะแรก 30 วัน (1-30 เม.ย.) ที่ผ่านมา

และดูจะมีความชัดเจนมากขึ้น ในการ “ตัดแข้ง ตัดขา ตัดมือ ตัดไม้” ของเหล่ามิจฉาชีพออนไลน์  เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  ได้ประกาศเปิด “ปฎิบัติการ AOC” รุกสกัดบัญชีม้า และแก้กฎหมายหาช่องทางวิธีการคืนเงินที่อายัดไว้ให้กับผู้เสียหาย!!

ประเสริฐ จันทรรวงทอง

“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รมว. ดีอี บอกว่า การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ระยะที่ 2 จะเปิด “ปฎิบัติการ AOC” เน้นการขยายผลกวาดล้างบัญชีม้า โดยใช้ข้อมูลรายชื่อบัญชีม้า และผู้กระทำผิด ก.ม. โดยใช้อำนาจตาม ก.ม.ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทำการปิดบัญชีทุกธนาคารจากชื่อบุคคล ที่เป็นบัญชีม้าทุกบัญชี ตั้งเป้าหมายปิดบัญชีม้าให้ได้ 15,000 คนต่อเดือน หรือ 1  แสนบัญชีต่อเดือน!!

และได้กำหนดมาตรการในการเปิดบัญชีใหม่ ป้องกันการนำบัญชีไปกระทำความผิด โดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ ซีดีดี โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชี โดยทาง ธปท.จะมีการออกประกาศภายในเดือน มิ.ย.นี้ และปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว 

ภาพ pixabay.com

ส่วนรื่องที่สำคัญ คือ  ออกมาตรการในการสกัดบัญชีม้า โดยให้สำนักงาน กสทช. พัฒนาแพลตฟอร์ม กลางเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีธนาคารกับซิมการ์ดของผู้ให้บริการมือถือ เพื่อตรวจสอบการใช้บัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ชื่อบัญชีต้องตรงกับชื่อจดทะเบียนซิมการ์ด โดยจะเริ่มในวันที่ 27 พ.ค.นี้  และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 120 วันในการตรวจสอบทั้ง 106 ล้านบัญชี

 สำหรับใครที่ “ชื่อไม่ตรงกับซิม” ต้องไปติดต่อปรับข้อมูลกับธนาคารหรือศูนย์บริการ  โดยธนาคารจะแจ้งเตือนผ่านเมนูโมบายแบงก์กิ้ง ซึ่งจะกำหนดช่วงระยะเวลาช่วงหนึ่ง โดยจะต้องหารือกับ ธปท. สมาคมธนาคารไทย อีกครั้งว่าจะกำหนดกี่วัน  หากไม่มาดำเนินการให้ตรงกัน บัญชีโมบายแบงก์กิ้งจะไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเพื่อดำเนินการ ขณะที่ผู้ที่ชื่อบัญชีกับซิมการ์ดตรงกัน ไม่ต้องทำอะไรใช้งานได้ปกติ!!

ภาพ pixabay.com

นอกจากนี้จะมีการแก้ไข หรือ เพิ่มหมวด ใน พ.ร.ก.  มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทาง เทคโนโลยี พ.ศ. 2566  เพื่อให้ ปปง.สามารถตรวจสอบความถูกต้องเส้นทางเงิน และคืนเงินผู้เสียหายได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล  จะเร่งประชาพิจารณ์และเสนอ ครม.เห็นชอบใน 2 สัปดาห์จากนี้ ซึ่งจะช่วยให้ใช้เวลาหลักเดือน ในการคืนเงิน จากเดิมต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการรอคำสั่งศาล รวมถึงจะมีการแก้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือพีดีพีเอ ที่ผู้ที่ขายข้อมูลส่วนบุคคล จากโทษจำคุก 1 ปี เพิ่มเป็น 5 ปี

 ทำไม?ต้องเร่งดำเนินการเรื่อง “บัญชีม้า” และเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหายที่พิสูจน์ได้นั้น ทาง “พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ”   รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (รองเลขาฯ ปปง.) บอกว่า ตอนนี้ มีบัญชีโมบายแบงก์กิ้งอยู่ประมาณ 106 ล้านบัญชี และมีอยู่ประมาณ 30 ล้านบัญชีที่ชื่อบัญชีไม่ตรงกับลงทะเบียนซิม แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดเป็นบัญชีม้า เพราะบางคนซื้อมือถือมาแต่ยังไม่เปลี่ยนชื่อ หรือบางคนเป็นผู้พิการ หรือคนที่ศาลสั่งบุคคลไร้ความสามรถ ต้องมีผู้ดูแล และเด็กที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลบัญชีให้ จึงต้องทำการคัดแยกก่อน   

พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ

ส่วนสาเหตุที่ไม่ตรงกันส่วนใหญ่ เพราะมีการซื้อบัญชีมา แล้วเอามือถือไปให้ธนาคารผูกกับบัญชี ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารยังไม่มีระบบตรวจสอบ และระบบสแกนหน้าเพิ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อปีที่แล้ว แต่โมบายแบงก์กิ้งมีมานานแล้ว ใครที่ไม่ได้สแกนหน้าก็ยังโอนได้ครั้งละไม่เกิน 5 หมื่นบาท วันละไม่เกิน 2 แสนบาทอยู่ !!

“มีเหตุผลอะไรที่ชื่อบัญชีกับชื่อลงทะเบียนซิมจะไม่ตรงกัน ถ้าเป็นสุจริตชน หรือไม่ใช่บัญชีม้า ซึ่งจากข้อมูลของ ปปง.ตรวจสอบพบว่า คนที่มีบัญชีม้า  1 คน ที่ถูกแจ้งดำเนินคดี จะมีบัญชีม้าอื่นๆอีกเฉลี่ยประมาณ 9.77  บัญชี จึงต้องมีการ คัดกรองกวาดออกจากระบบให้หมด ในส่วนนี้อาจจะทำให้ประชาชนไม่สะดวกบ้าง แต่จะพยายามให้มีผลกระทบน้อยที่สุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งประชาสัมพันธ์”

 สิ่งสำคัญ คือทำอย่างไรให้คนไทยไม่ขายบัญชี ถ้าทุกคนไม่ขาย มิจฉาชีพจะเอาบัญชีที่ไหนมากระทำความผิด ซึ่งแก็งคอลเซ็นเตอร์มีค่าใช้จ่ายต่อวันหลายแสนบาท ถ้าไม่สามารถโกงเงินคนไทยผ่านบัญชีม้าได้จะเอาเงินที่ไหน ไปจ่ายให้ลูกน้อง ก็จะทำให้แก็งพวกนี้ล้มไปเอง

ภาพ pixabay.com

รองเลขาฯ ปปง. ยังบอกถึง การคืนเงินที่ทาง ปปง.อายัดที่ยังค้างอยู่ในระบบประมาณ 1,000 ล้านบาท และ หากปิดบัญชีม้าได้ 15,000 คนต่อเดือนตามเป้าหมาย และทุกบัญชีของคนร้ายต้องถูกระงับทั้งหมด ทำให้ถึงเดือน ก.ย.นี้อาจมีเงินในระบบกว่า 2,000 ล้านบาท ที่ไม่มีคนมาแสดงตนเป็นเจ้าของเงิน ซึ่งหากมีการแก้กฎหมายแล้วก็จะสามารถคืนเงินให้ผู้เสียหายได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตามหลังมีข่าวว่า จะมีการนำเงินคืนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงนั้น ทำให้ผู้เสียหายหลายคน ทั้งโทรฯถาม ทั้งแห่เดินทางไปที่ ปปง.  นั้น ทาง  รองเลขาฯ ปปง.  บอกว่า  ต้องรอ ก.ม. ออกมาบังคับก่อน ซึ่งต้องถามความเห็นจาก ฝ่ายต่างๆ เช่น สำนักงานกฤษฎีกา และ ครม. เป็นต้น ที่จะให้อำนาจ ปปง.ในการวินิจฉัยคืนเงิน ซึ่งเฉพาะมูลเหตุ ถูกหลวงหลวงออนไลน์เท่านั้น โดยจะมีกระบวนการ พิสูจน์ทราบ ว่าเงินที่อายัดไว้ตรงกับ เงินที่ออกจากบัญชีผู้เสียหาย หรือไม่ เพื่อทำการเฉลี่ยคืนเงินให้ผู้เสียหายต่อไป

“ขอให้ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ ตอนนี้อย่าพึ่งไปที่ ปปง. หรือไปที่กระทรวงดีอี ขอให้ท่าน ไปแจ้งความร้องทุกข์แสดงตนว่า เป็นผู้เสียหายแล้วให้เก็บหลักฐานไว้  จะแจ้งความผ่านศูนย์  AOC 1441 หรือ สถานีตำรวจทั่วประเทศ ก็ได้ ในระหว่างแก้กฎหมาย ทางปปง. จะทำการตรวจสอบว่าเงินผู้เสียหายออกจากบัญชี ไปยังบัญชีม้าที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และ 4 และกระจายไปทางไหนบ้าง เมื่อยึดมาได้และตรวจสอบเส้นเงินแล้ว ว่าเป็นเส้นเดียวกัน ผู้เสียหายในกลุ่มนี้มีสิทธิ ที่ได้เฉลี่ยเงินคืนตามสัดส่วนที่ยึดได้ ซึ่งเมื่อกฎหมายบังคับใช้แล้วกระบวนการเยียวยา จึงจะเริ่มเ โดยจะปิดให้ผู้เสียหายมาลงทะเบียน” พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าว

สุดท้าย รองเลขาฯ ปปง. บอกว่า ขอให้ประชาชนผู้เสียหายที่ถูกหลอกออนไลน์อดใจรออีกนิด ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังเร่งทำงานให้เร็วที่สุด!?!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์