เมื่อเวลา 14.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) วันที่ 23 พ.ค. ที่ห้อง Sky Room ชั้น 24 โรงแรม The Peninsula Tokyo นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับผู้บริหารบริษัท Mitsui & Co., Ltd. เป็นบริษัทการค้า การบริหารธุรกิจและการพัฒนาโครงการระดับโลก ติดอันดับ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจหลักในด้านพลังงาน ทรัพยากรแร่และโลหะ เหล็ก เป็นต้น มีสำนักงาน 125 แห่ง ใน 61 ประเทศทั่วโลก รวมถึงในไทย สิงคโปร์ (ROH) มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา และเมียนมา
โดย นายกฯ กล่าวย้ำว่า พลังงานสะอาดมีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน ทั้งยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำรายละเอียดปรับปรุงแผนพลังงานแห่งชาติ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้พลังงานของโลก อำนวยความสะดวกให้บริษัทฯ ที่สนใจลงทุนในไทย และรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมภายในปีนี้ โดยรัฐบาลจะเร่งทำประชาพิจารณ์ โดยเร็วที่สุด และสนับสนุนให้บริษัทเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ทั้งในเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์การเกษตรในการทำน้ำมันเพื่อการประกอบอาหาร และพลังงานเชื้อเพลิง
ต่อมาเวลา 14.25 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ที่ห้อง Sky Room ชั้น 24 โรงแรม The Peninsula Tokyo นายเศรษฐา พบหารือกับผู้บริหารบริษัท Ajinomoto Co., Inc. เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องปรุงรสและอาหาร อาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและอื่น ๆ โดยมีบริษัทในเครือ 135 แห่ง ตั้งอยู่ใน 36 ประเทศทั่วโลก และมีโรงงานผลิต 117 แห่ง ใน 24 ประเทศทั่วโลก และมีบริษัทดำเนินธุรกิจผงชูรส โรงงานผงปรุงรสอาหารในจังหวัดกำแพงเพชร สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ ปทุมธานี และมีสํานักงานภูมิภาคในกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ บริษัทได้หารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายกรัฐมนตรี และได้นำเรียนแนวทางการประกอบธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ยืนยันให้ความสำคัญกับการประกอบธุรกิจ ลงทุนในไทย ชื่นชมและรู้สึกขอบคุณเกษตรกรมันสำปะหลังไทย ที่เป็นส่วนสำคัญในวัตถุดิบการผลิตของผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท และมั่นใจว่าไทยมีศักยภาพสำหรับบริษัทในการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
โดยนายกฯ กล่าวยินดีที่บริษัทมีการดำเนินธุรกิจและจัดตั้งโรงงานในไทยเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการผลักดันโครงการดีๆ ชื่อ Thai Farmer Better Life Partner Project มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินการของบริษัทฯ ทำให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนผลประกอบในไทยถือว่าสูงที่สุด เมื่อเทียบกับทั่วโลก ทั้งนี้ นอกจากการลงทุนในไทยแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการร่วมพัฒนาคุณภาพผลผลิต (มันสำปะหลัง) ของเกษตรกรไทยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มผลิตภาพและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งจะนำมาสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมโครงการดังกล่าว เชื่อมั่นว่าจะเป็นพื้นฐานสนับสนุนไทยไปสู่การเป็น Agriculture and Food Hub อย่างยั่งยืน
ขณะที่เวลา 15.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ที่ห้อง Sky Room ชั้น 24 โรงแรม The Peninsula Tokyo นายเศรษฐา พบหารือกับผู้บริหารบริษัท Sony Group Corporation เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก บริษัทได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น รายงานการดำเนินงานในประเทศไทย รวมถึง พูดคุยหารือเกี่ยวกับการเปิดโรงงานที่ 4 ภายใต้บริษัท Sony Device Technology (Thailand) ที่สวนอุตสาหกรรมบางกระดี จังหวัดปทุมธานี โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะทำการประกอบ Semiconductor Laser สำหรับ Hard Disk Drive ที่ใช้ใน Data Center รวมถึงการประกอบ Image Sensor สำหรับการใช้งานในยานยนต์ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย และมีแนวโน้มการขยายการลงทุนในอนาคต เนื่องจากบทบาทของ AI Technology ที่ทำให้ความต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนายกฯ ขอบคุณที่เลือกไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้า high-tech พร้อมหวังว่า บริษัทจะพิจารณาไทยเป็นลำดับต้น ๆ ในการขยายการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการ AI Technology และการเติบโตของรถยนต์อีวีอย่างต่อเนื่อง.