เมื่อวันที่ 6 ต.ค. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า  “ผมอยากจะแบ่งปันข้อความนี้ ที่ผมเขียนถึงทุกคนในบริษัทครับ”

“สวัสดีทุกคน, นี่ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ผมอยากแบ่งปันความคิดบางอย่างให้กับพวกคุณ​อย่างแรก, ระบบของเราล่มเมื่อวานนี้ เป็นสิ่งที่เลวร้ายมากในรอบหลายปี พวกเราใช้เวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาเรียนรู้ที่ที่ทำให้ระบบของเราแข็งแกร่งขึ้น เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่างานที่เราทำมีความสำคัญต่อผู้อื่นอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นๆ​ ในตลาดหรือว่าเราสูญเสียเงินไปเท่าไหร่ แต่มันกลับมีความตรงที่ว่ามีผู้คนมากมายใช้บริการของเราติดต่อกับคนรัก ดำเนินธุรกิจ หรือแม้กระทั่งสนับสนุนชุมชน”

“ประการที่สอง เมื่อคำให้การของวันนี้สิ้นสุดลงผมต้องการอภิปรายสถานการณ์ของเราให้สื่อรู้ด้วย ผมแน่ใจว่าพวกคุณหลายคนพบว่าข่าวที่ออกมามันยากเกินรับได้ เพราะนั่นไม่ใช่บริษัทที่เรารู้จัก เราใส่ใจในประเด็นต่างๆ​ มาก เช่น ด้านความปลอดภัยทั้งด้านกายและสุขภาพจิต มันจึงทำใจยากมากที่เราจะเห็นสื่อเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานและแรงจูงใจ และผมคิดว่าพวกเราทุกคนยังไม่รู้จักภาพปลอมที่บริษัทโดนทาสีไว้”

“มีการเรียกร้องจำนวนมากที่ไม่สมเหตุสมผล หากเราต้องการที่จะเมินเฉยกับการสืบสวน ทำไมเราจึงสร้างโครงวิจัยและทำความเข้าใจกับประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องแรกๆ ถ้าเราไม่สนใจที่จะต่อต้านและแบนเนื้อหาที่เป็นอันตราย เราจะจ้างคนจำนวนมากให้มาทุ่มเทกับเรื่องนี้เพื่ออะไรกัน หากเราต้องการปิดบังข้อมูล แล้วเหตุใดเราจึงสามารถเป็นผู้นำเรื่องความโปร่งใสและความปลอดภัยแบบนี้ได้ล่ะ ถ้าหากโซเชียงมีเดียทำให้สังคมแบ่งฝ่ายกันอย่างที่หลายคนอ้าง แล้วทำไมมันจึงมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ​ ในสหรัฐ​ แต่มันก็กลับลดลงในประเทศที่มีการใช้โซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกัน”

“หัวใจสำคัญของข้อความที่กล่าวมานั้น ความคิดที่บอกว่าบริษัทของเรานั้นให้สำคัญกับเรื่องของผลกำไรมากกว่าความปลอดภัยและความอยู่ดีกินดีนั้น เป็นเรื่องที่ไม่จริง ยกตัวอย่าง เมื่อเราถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการเพิ่มรีแอ๊คชั่นที่ลึกซึ้งเข้าไปใน นิวส์ฟีด ก็เพราะว่ามันจะทำให้ผู้ใช้เห็นคลิปไวรัลน้อยลงและสามารถเห็นเนื้อหาจากเพื่อนๆ​ และครอบครัวได้มากขึ้น ซึ่งเราทราบดีว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กน้อยลง แต่การวิจัยนี้ก็ทำให้เห็นว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับผู้ใช้ และนั่นคือสิ่งที่บริษัทเน้นผลกำไรทำกันหรือไม่?”

“ข้อโต้แย้งที่ถูกผลักดันและจงใจให้พวกคนเกลียดบริษัทเรานั้นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง บริษัทเราทำเงินได้จากการโฆษณา ซึ่งลูกค้าได้บอกเราเสมอว่าพวกเราไม่ต้องการให้สินค้าของตนไปอยู่ในเนื้อหาที่เป็นอันตราย ซึ่งผมเองนั้นก็ยังไม่รู้จักเทคโนโลยีใดๆ​ ที่จะตั้งใจผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่หรือโกรธเคือง ผมให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็กๆ เป็นพิเศษผมใช้เวลามากมายที่จะไตร่ตรองถึงประสบการณ์ต่างๆ​ ที่ผมต้องการให้ลูกของผมเองรวมถึงของคนอื่นๆ​ ด้วย”

“วัยรุ่นสมัยนี้ใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก ลองจินตนาการดูว่าเด็กสมัยนี้ในวัยเรียนมีโทรศัทพ์คนละกี่เครื่อง แทนที่เราจะเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ บริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเองก็ต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยเช่นกัน เรามุ่งนั่นที่จะทำงานในอุตสาหกรรมด้านนี้ เช่น Messenger Kids ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง และปลอดภัยกว่าตัวเลือกอื่นๆ​ มาก”

“เช่นเดียวกับประเด็นอื่นๆ​ ในสังคม ผมไม่เชื่อว่าบริษัทเอกชนควรทำการตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงสนับสนุนให้มีการปรับปรุงกฎทางอินเทอร์เน็ตมาหลายปีแล้ว ผมไปให้การในสภาคองเกรสหลายครั้งแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้เขียน op-eds โดยสรุปขอบเขตของกฎระเบียบที่เราคิดว่าสำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เนื้อหาอันตรายและความเป็นส่วนตัวอีกด้วย”

“เรามุ่งมั่นทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่หน่วยงานที่เหมาะสมของรัฐบาลจะช่วยเข้ามาสร้างความเท่าเทียมให้สอดคล้องกับรูปแบบประชาธิปไตยของเรา เช่น ช่วยอายุไหนของวัยรุ่นจะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้? บริการอินเทอร์เน็ตควรตรวจสอบผู้ใช้บริการอย่างไร และบริษัทต่างๆ​ นั้นสามารถรักษาสมดุลระหว่างความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวต่อเด็กๆ​ ช่วงวัยรุ่นอย่างไร”

“หากเราจะพูดคุยเรื่องผลกระทบของวัยรุ่นอย่างจริงจังต่อกลุ่มอนุรักษนิยมเราควรเริ่มที่ภาพรวมทั้งหมดเราพร้อมที่จะทำวิจัยด้วยตัวเองและเปิดเผยออกมาให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ผมกังวลถึงว่าไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นที่นี่พวกเรามีระบบการค้นคว้าที่พิสูจน์ได้ว่ามันคือเรื่องที่สำคัญและพวกเรากำลังดำเนินการอยู่มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจที่เห็นชิ้นงานที่พวกเราทำหลุดออกนอกขอบเขตไปเหมือนกำลังจะส่งข้อความว่าการไม่ดูอาจปลอดภัยกว่าแต่นั้นอาจทำให้คุณรู้สึกถูกต่ออาจและมันอาจส่งผลแย่ยิ่งกว่าสำหรับสังคมและถึงแม้ว่ามันอาจง่ายกว่าสำหรับเส้นทางนั้นแต่เราจะค้นคว้าข้อมูลต่อไปเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

“ผมรู้ว่ามันน่าหงุดหงิดที่เราต้องเห็นงานที่ทำนั้นผิดพลาด โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ความซื่อสัตย์ การค้นคว้า และผลิตภัณฑ์ แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราได้พยายามมอบความถูกต้องและประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ต่อไป มันจะนำสิ่งดีๆ​ มาให้ชุมชนและบริษัทของเรา ผมขอให้แกนนำบริษัทของเราเจาะลึกถึงข้อมูลในหลายส่วนเพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงทุกสิ่งที่เราทำ

เมื่อผมไตร่ตรองงานของเราแล้ว ผมก็ได้นึกถึงผลกระทบแท้จริงที่เกิดขึ้นต่อโลก ทุกที่ทุกคนสามารถติดต่อกับคนที่พวกเขารักได้ สร้างโอกาสในการเลี้ยงดูตนเอง รวมไปถึงการหาเพื่อน นี่คือเหตุผลที่คนหลายพันล้านคนยังใช้บริการของเรา ผมภูมิใจกับทุกสิ่งที่เราได้ทำกันมาเพื่อสังคม และขอบคุณพนักงานทุกคนสำหรับที่ทำงานด้วยกันมาถึงทุกวันนี้”