เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดงานเสวนาทางวิชาการ “สู่การดูแลทะเลร่วมกันอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน” เพื่อสะท้อนข้อกังวลของภาควิชาการ ภาคประชาชน กลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน รวมทั้งภาคอุตสาหกรรม ต่อการแก้ไขกฎหมายการประมง รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองและวิเคราะห์ผลกระทบต่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง ที่ผ่านการรับหลักการจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2567  ที่ผ่านมา

นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ตัวแทนสมาคมรักษ์ทะเลไทย และกมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การประมงฉบับดังกล่าวนี้ กล่าวว่า พ.ร.บ.ประมงฉบับนี้ มี 8 กลุ่ม เรื่องได้แก่ 1.การผ่อนปรนบทลงโทษเชิงป้องกันที่ถูกออกแบบเพื่อขัดขวางการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) 2.การรื้อฟื้นการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลมาตรา 85/1 และมาตรา 87 3.การรื้อฟื้นการเปลี่ยนย้ายลูกเรือกลางทะเล มาตรา 83/1 4.การลดทอนกลไกการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมง มาตรา 81(1) 5.การลดทอนกลไกเฝ้าระวังและคุ้มครองแรงงาน มาตรา 82 และมาตรา 83  6.ลดทอนการควบคุมเครื่องมือประมงทำลายล้าง มาตรา 67  7.ผ่อนคลายกฎระเบียบที่คุ้มครองสัตว์น้ำที่หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ มาตรา 66  และ 8.ความพยายามกีดกันทางการค้าด้วยข้อกำหนดการนำเข้าและกำแพงการค้า มาตรา 97  ซึ่งการแก้ไขกฎหมายประมงฉบับนี้จะไม่นำประเทศไทยกลับไปสู่การเป็นเจ้าสมุทร แต่เป็นการถดถอยของประมงไทยที่ทำลายความยั่งยืนทางทะเล และเสี่ยงกระทบกับเศรษฐกิจ

ขณะที่นายอดิศร พร้อมเทพ ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และอดีตอธิบดีกรมประมง  กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรจะทำ แต่วันนี้สิ่งที่กำลังจะแก้ไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืน ตนจึงมีคำถามว่าแก้ไปทำไม แก้ไปเพื่อใคร ตนไม่เห็นมีใครได้ประโยชน์ใดๆ จากการแก้ไขครั้งนี้ แม้กระทั่งประมงพาณิชย์ นอกจากนี้การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้มีหลายมาตราที่ดูแล้วขัดกับข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับ IUU เช่น รายละเอียดในมาตรา 141 ที่มีการลดโทษในการกระทำผิด มีความพยายามลดค่าปรับที่ได้เปลี่ยนจากแบบสัดส่วนตามขนาดเรือ มาเป็นอัตราค่าปรับคงที่เท่ากันทุกขนาดเรือ ซึ่งทำให้เรือเล็กได้รับผลกระทบมากขึ้น ต่อมาคือการเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าสัตว์น้ำ ซึ่งอุตสาหกรรมทูน่าส่งออกของไทยจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าปลาทูน่า ซึ่งกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขนั้นมีการให้เก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าสัตว์น้ำหรืออาหารทะเลทุกชนิดในอัตรา 20 บาท/กก.  อันนำมาซึ่งต้นทุนที่เพิ่มมามากขึ้นของภาคอุตสาหกรรมอาหารทะเล

น.ส.พฤษา สิงหะพล มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) กล่าวว่า ในเรื่องผลกระทบ FTA หรือเขตการค้าเสรี ที่ไทยพยายามเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรป โดยภายใต้เงื่อนไขการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกกำหนดไว้ แม้สหภาพยุโรปจะไม่ใช่คู่ค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมประมง ที่ถือครองสัดส่วนการส่งออกอาหารทะเลไม่ถึง 5% แต่ประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และเกาหลีใต้ ที่ถือครองสัดส่วนการส่งออกรวมกันกว่า 60% ประเทศเหล่านี้ล้วนมีทิศทางในการกำหนดมาตรการการนำเข้าสินค้าอาหารทะเลจากไทย ไปในรูปแบบทิศทางเดียวกันกับสหภาพยุโรป คือการเพิ่มความโปร่งใส และปฏิเสธสินค้าที่เกิดจากการละเมิดสิทธิแรงงาน รัฐบาลไม่สามารถละเลยกฎระเบียบระหว่างประเทศไปได้ เพราะปัจจัยสำคัญไม่ได้อยู่ที่การอำนวยความสะดวกให้ชาวประมงจับปลาได้มากขึ้น แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถขายสินค้าเหล่านั้นได้หรือไม่ เพราะถ้าหากประเทศคู่ค้าไม่ยอมรับสินค้าทางทะเลก็ไม่เกิดประโยชน์กับมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศ

ด้านนายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า การประมงยั่งยืนเป็นแค่เรื่องวาทกรรม ที่ สส. ทั้งหมดไม่เคยคิดที่จะออกกฎหมายที่สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว หนำซ้ำยังมีความทำลายประมงพื้นบ้านที่มองว่าไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ข้อมูลผลผลิตและมูลค่าสัตว์น้ำจากการประมงของประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าในปี 2565  ประมงพาณิชย์มีผลผลิตสัตว์น้ำจากการประมงอยู่ที่ 1,007,112 ตัน โดยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงิน 39,474  ล้านบาท ในขณะที่ประมงพื้นบ้านมีผลผลิตอยู่ที่ 272,645 ตัน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงิน 26,792 ล้านบาท โดยเมื่อหารเฉลี่ยราคาต่อตันประมงพาณิชย์จะอยู่ที่ 39,195 บาท/ตัน ในขณะที่ประมงพื้นบ้านสามารถสร้างมูลค่าผลผลิตที่มากกว่าอยู่ที่ 98,267 บาท/ตัน วันนี้เครื่องมือประมงพาณิชย์ยังคงทำประมงนอกเขตทะเลชายฝั่งอยู่ แต่ในอนาคตถ้าคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็น่าตกใจถ้าเครื่องมือประมงทำลายล้างพวกนี้ถูกอนุญาตโดยกรมประมงประจำจังหวัด หรืออนุญาตให้ทำประมงในเขตประมงชายฝั่งตามร่างพ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่เครื่องมือประมงพื้นบ้าน ก็คงต้องสิ้นอาชีพกัน

“ผมเอาชีวิตของผมต่อสู้กับการทำประมงทำลายล้าง เราเอาชีวิตของเราเป็นเดิมพัน แต่พรรคการเมืองไม่ได้ฟังเสียงประมงพื้นบ้านเลย คุณกำลังไปฟังสิ่งที่เป็นทุนนิยมล้าหลัง เราจะเป็นเจ้าสมุทร แต่คุณฟังผิดด้าน คุณไม่ได้ดูหลักสากล การทำประมงยั่งยืน เราพึ่งพาใครไม่ได้ในกรรมาธิการแม้แต่คนเดียว และอีกไม่นานเราจะเห็นการลดลงของสัตว์น้ำวัยอ่อนและการล่มสลายของประมงพื้นบ้าน” นายปิยะกล่าว

ด้าน น.ส.เพ็ญพิชา จรรย์โกมล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า เป็นห่วงถึงเรื่องการละเมิดสิทธิของแรงงานประมงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารูปแบบของการละเมิดจะเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบการค้าทาสสมัยใหม่มีการยึดหน่วงเอกสารประจำตัว รูปแบบการจ่ายค่าจ้างที่ซับซ้อน การสร้างภาระหนี้สินให้กับแรงงาน ตลอดถึงการเกิดอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตขณะทำงาน กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มองแรงงานเป็นหนึ่งในนั้น โดยการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้มีความพยายามนำเรื่องของแรงงานแยกออกไป ทั้งที่จริงแล้วแรงงานเป็นกลุ่มสำคัญในการดำเนินกิจกรรมประมง นอกจากนี้ยังมีการรื้อฟื้นการขนย้ายลูกเรือกลางทะเล ตามมาตรา 82 และ 83/1 เป็นการเปิดช่องว่างให้มีการขนถ่ายลูกเรือ โดยเป็นเหตุผลของการยืดระยะเวลาของการทำงานของลูกเรือกลางทะเลให้นานออกไปมากขึ้น  ทั้งนี้ตนยังมีข้อกังวลเพิ่มเติมจากเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม ที่ได้ออกจดหมายแสดงความเป็นกังวล ทั้งการออกใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์กับการนิรโทษกรรมผู้เคยทำประมงผิดกฎหมายที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตเกินกว่าสองปีสามารถกลับมาขอออกใบอนุญาตได้อีกครั้งหนึ่ง การเปิดโอกาสให้มีการขนถ่ายสัตว์น้ำได้ทั้งประมงในและนอกน่านน้ำไทยซึ่งมีความเสี่ยงในการทำประมงเกินขนาด การจับปลาด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมายซึ่งไม่สามารถตรวจสอบที่มาของปลาได้.