มื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 มิ.ย. 67 ที่รัฐสภา สำนักงานงบประมาณของรัฐสภา (สงร.) จัดสัมมนาวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีเนื้อหามิติเศรษฐกิจมหาภาคและการคลัง การรักษาเสถียรภาพและความยั่งยืนทางการคลัง โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถและความอิสระของฝ่ายนิติบัญญัติในกระบวนการงบประมาณ

นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 กล่าวเปิดการสัมมนาตอนหนึ่งว่า คาดหวังจะรับทราบเสียงสะท้อนจากประชาชน เพื่อนำไปปรับปรุงการจัดทำงบประมาณต่อไป ทั้งงบกลางตามอำนาจของนายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัตินั้นจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มข้น เพื่อให้การใช้งบแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส ความคุ้มค่าและเป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ

“งบกลางของนายกรัฐมนตรีพอใช้ไม่หมด 1 ปี ไม่สามารถตรวจสอบได้ ที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีเทคนิคที่จะหลบเลี่ยงในการตรวจสอบต่างๆ อันนี้ ฝ่ายนิติบัญญัติจำเป็นจะต้องเข้มแข็ง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ฝั่งโน้นฝั่งนี้ไป รัฐบาลก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลตลอดชีวิตหรือเป็น 100 ปี ผลัดเปลี่ยนกันไป แต่การตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องเข้มแข็ง” นายพิเชษฐ์ กล่าว

นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันนี้สภาผู้แทนราษฎรอยู่อย่างประหยัด อยู่อย่างเท่ เราใช้เงินไม่หมด ก็คืนให้กับรัฐบาลทุกปี ปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท และไม่สามารถแปรญัตติเพิ่มงบประมาณให้กับตัวเองได้ เพราะกลัวขัดรัฐธรรมนููญที่ไม่ให้ สส. เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพราะกลัวเรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ตัวอย่างงบในปี 68 เราได้งบฯ ทั้ง สส. และ สว. มีสัดส่วนร้อยละ 0.2 ของงบทั้งประเทศ และเมื่อเทียบกับกระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้มาก สภายังได้น้อยกว่าบางกรมของกระทรวงเหล่านี้ ดังนั้นเราจะขับเคลื่อนประชาธิปไตยได้อย่างไร

“สส. ที่เป็นกรรมาธิการงบประมาณ ก็ไม่กล้าแปรญัตติเพิ่มให้ ทั้งที่เราขอเพิ่มไป 800 ล้านบาท จึงขอฝากให้จัดงบประมาณปี 69 เพิ่มกิจกรรมให้มากขึ้น เพื่อให้ได้งบจาก 5,400 ล้านบาท เป็น 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่เราไม่ได้เพิ่มงบประมาณจุดอ่อน คือ สภาชี้แจงการของบประมาณไม่ชัดเจน” นายพิเชษฐ์ กล่าว

นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หากสภาสามารถหางบได้ด้วยตัวเองก็เป็นการดี เพราะวันนี้เราแพ้ อบต. แพ้เทศบาล ที่งบประมาณเหลือ เขาสามารถสะสมงบประมาณได้ แต่สภาต้องคืนทุกปี เพราะเราไม่สามารถจัดการตัวเอง เพื่อไม่คืนเงินที่เหลือจ่ายได้ ซึ่งตอนนี้ตนได้หารือกับฝ่ายกฎหมายของสภา เพื่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา เมื่อเสร็จแล้วก็ต้องส่งให้รัฐบาล เนื่องจากเป็นกฎหมายการเงิน เมื่อเข้าสภาแล้ว ก็เชื่อว่าทุกพรรคคงไม่ขัดข้อง ดังนั้นต่อไปนี้เราจะต้องสู้ และขอให้ สงร. ไปวิจัยว่าในปีงบประมาณปี 69 และปี 70 สภาควรมีงบประมาณเท่าไหร่ ซึ่งควรจะเพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อนำไปอ้างอิงกับสำนักงบประมาณ.