เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นางเพ็ญ อายุ 52 ปี ข้าราชการสังกัดแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยนายนรพัลลภ ทองคลัง ทนายความ ได้เดินทางมาพบ พ.ต.ท.สุชัย แสงส่อง รองผกก.สภ.คลองหลวง หลังจากถูกชายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คบหากันหาหลอกเงินและทรัพย์สินไป 3 ล้านกว่าบาท
นางเพ็ญ เปิดเผยว่า ตนเองรู้จักกับผู้ชายคนนี้ เพราะตนเองถูกแฟนเก่าคุกคาม ก่อนได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาหาตนที่บ้านพักย่านคลองสาม 2 นาย เป็นนายตำรวจ 1 นาย และชายที่หลอกตนเอง ทราบชื่อนายศักดิ์ดา จากนั้นพอเกิดเหตุตนเองถูกแฟนเก่าคุกคามบ่อยๆ ก็จะมีนายศักดิ์ดา เดินทางมาช่วยเหลือเพียงคนเดียว จนหลายครั้งเขาก็ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อ ประมาณว่า ถ้ามีอะไรก็ให้ติดต่อเขาโดยตรงเลย ไม่ต้องโทรไปโรงพักแล้ว พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง ก็ได้มีการพูดคุยกัน และเห็นว่าเขาเป็นคนดี จนเขามาขอคบตนเป็นแฟน เขาบอกว่าเขาไม่มีใคร เขาเป็นตำรวจเขาไม่มีใคร
ข้าราชการสาวใหญ่ เผยต่อว่า จากนั้นพอสักระยะหนึ่ง เขาก็บอกให้ตนเองทำธุรกิจร่วมกันกับเขา และมีการพูดอ้างจะโยกย้ายเราในตำแหน่งที่สูงขึ้น รวมทั้งมีการอ้างว่าพ่อป่วย แม่ป่วย ตัวเขาเองป่วย ทุกครั้งที่อ้างก็จะให้เราโอนเงินให้ตลอด แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่ให้เราพบคนที่บ้านของเขา ทำให้ตนไม่เคยรู้ตัวตนที่แท้จริง เขาวางแผนไว้หมดแล้ว เราก็ไม่รู้ และก็มารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 67 ว่าเราไม่เหลืออะไรแล้ว บ้านก็โดนยึด ที่ดินก็โดนยึด เขาบอกว่าเขาเดือดร้อนทุกอย่าง ที่ดินถูกยึดจากการโดนอายัดทรัพย์และยึดทรัพย์ที่ออกรถให้เขา เพื่อทำธุรกิจรีสอร์ท และเขาอ้างพี่ชายเขาซื้อรีสอร์ทเอาไว้และจะไปทำธุรกิจรีสอร์ทเพื่อครอบครัว
นางเพ็ญ เผยอีกว่า เราก็รู้ว่าเขาเป็นมิจฉาชีพ และคบกันมาตั้งแต่ปลายปี 60 ที่เราคบกัน ไม่ได้อยู่กันทุกวัน บางครั้งเขาก็หายไปประมาณ 6-7 เดือนแล้วก็กลับมาหาเรา ระหว่างที่เขาหายไปก็มีพี่สะใภ้ของเขาโทรศัพท์มาหาตน และพ่อของเขาโทรศัพท์มาหาตน เพื่อให้เราโอนเงินให้เขา อย่างพี่สะใภ้ก็โทรศัพท์มาบอกกับตน ว่า ศักดิ์ดา ป่วยติดโควิดให้โอนเงินไปช่วยค่าออกซิเจนทุกวัน วันละ 1,000 บาท ประมาณ 6 เดือน เฉพาะเงินสดที่อยู่ในบัญชีก็ประมาณ 1 ล้านกว่า และทรัพย์ก็ไม่มีอะไรเหลือเลยตอนนี้ บ้านก็ไปขายจำนอง เขาก็บอกว่าจะส่งเอง แต่ก็ไม่ส่งจนตนเองโดนไล่ออกจากบ้าน ทรัพย์สินและเงินสดที่ตนเองเสียไปประมาณ 3 ล้านกว่าบาท เขาหลอกให้ตนรักเขา ทำให้เชื่อสนิทว่าเป็นคนในครอบครัวเขา ที่ผ่านมา ตนก็ยังไม่มั่นใจว่าเขามีครอบครัวแล้ว เพียงแต่มีคนบอกมา
นายนรพัลลภ ทองคลัง ทนายความ กล่าวว่า ตนได้พา นางเพ็ญ ผู้เสียหายมาแจ้งความในส่วนของฐานความผิด กระทำตนและแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ้างว่าตนเองมียศเป็นผู้หมวด รวมทั้งฉ้อโกง เพราะชายคนดังกล่าวมีการชักชวนผู้เสียหายไปทำรีสอร์ทที่ จ.อุบลราชธานี แต่ในการลงทุนดังกล่าวผู้เสียหายไม่ทราบว่าทำจริงหรือไม่ และระยะเวลาที่พูดคุยกันเขาก็จะให้บุคคลภายนอกโทรศัพท์มาหาผู้เสียหาย และผู้เสียหายก็ได้โอนเงินไปให้
ทนายความ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายได้ไปออกรถยนต์ให้กับผู้ก่อเหตุ 2 คัน 1 คันไฟแนนซ์ได้เอาคืนไปแล้ว ส่วนอีก 1 คันทางไฟแนนซ์ก็ฟ้องยึดทรัพย์ผู้เสียหาย ซึ่งทางผู้เสียหายก็ได้บอกให้ผู้ก่อเหตุนำรถมาคืน ทุกวันนี้ทางผู้ก่อเหตุก็ยังไม่นำรถมาคืน ตนคิดว่าน่าจะเป็นกระบวนการของผู้ก่อเหตุเสียมากกว่า และที่บอกว่าแม่เป็นหญิงชรา เมื่อตนไปพบก็เห็นแม่เขายืนผัดข้าวปกติ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ที่ผู้ก่อเหตุได้นำของผู้เสียหายไป เช่นทองคำ 8 บาท แต่เหลือ 4 บาท และรถยนต์เก๋ง ก็สามารถเรียกคืนได้.