เมื่อวันที่ 11 ต.ค. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวตอบโต้กรณีนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. ระบุว่ากระแสความนิยมพรรค ปชป.ลดลง หลังยอดเงินบริจาคจากภาษีลดลง ทิ้งห่างพรรคก้าวไกล โดยนายราเมศ ยืนยันยอดบริจาคภาษีไม่ใช่ตัวชี้วัดในความนิยมทางการเมืองทั้งหมดของพรรคการเมือง เพราะแต่ละปีมีการเพิ่มขึ้นและลดลงซึ่งเป็นเรื่องปกติ พร้อมย้ำ ความนิยมในพรรคการเมืองต้องเกิดจากความตรงไปตรงมา ยึดมั่นในหลักซื่อสัตย์ สุจริต คำนึงประโยชน์ประชาชนและความมั่นคงของประเทศ หากใครคิดสิ่งที่พรรค ปชป.ทำไม่ดีหรือไม่เกิดประโยชน์กับประชาชนใดๆ ช่วยเสนอให้ยกเลิกการประกันรายได้เกษตรกร ยกเลิกการสร้างบ้านมั่นคงให้กับประชาชนที่ยากจน ให้ยกเลิกโครงการพาณิชย์ลดราคาเพื่อประชาชน และอีกมากมาย สิ่งดีที่พรรคทำต้องยกเลิกให้หมด ดังนั้นการที่นายเทพไท กล่าวเช่นนี้ไม่เป็นธรรมต่อพรรค ปชป.เพราะเหมือนกับพรรคไม่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ดีเลย

“สำหรับความนิยมในทางการเมือง การนำประเด็นใดประเด็นหนึ่งมาตัดสินในทุกเรื่องคงไม่ได้ และถ้าติดตามการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยใจที่เปิดกว้าง จะได้เห็นท่าที จุดยืน และอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค คือการทำงานให้กับประชาชนและประเทศยึดมั่นผลสำเร็จของงานและความยั่งยืนในอนาคต ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่โกงกิน และไม่คิดล้มสถาบัน อีกทั้ง ประชาชนเห็นว่าพรรคทำงานจริง ไม่ทำงานฉาบฉวยหรือหวือหวา” นายราเมศ กล่าว

จากนั้น นายเทพไท ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้นายราเมศ ว่า ตนได้ยกกรณีการเสียภาษีเงินได้ ในการบริจาคให้กับพรรคต่างๆ อาจเป็นดัชนีหรือนัยทางการเมืองเหมือนกับในอดีตที่พรรค ปชป.เคยเป็นแชมป์ได้รับบริจาคภาษีมาตลอด ไม่ได้มีเจตนากล่าวหาพรรค ปชป.ให้ได้รับความเสียหาย เพียงต้องการใช้ฐานข้อมูลของการบริจาคภาษี มาวิเคราะห์ความนิยมของพรรคการเมือง แต่เมื่อโฆษกพรรคเข้าใจคลาดเคลื่อนต้องขอชี้แจงว่าเป็นความเห็นที่ตรงไปตรงมา และมีข้อมูลที่เป็นตัวเลขยืนยันชัดเจน เพียงต้องการให้ทุกพรรคนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ และใช้ประกอบการพิจารณาการทำงานการเมืองของแต่ละพรรค

นายเทพไท ระบุช่วงหนึ่งว่าการเมืองในวันนี้ มีความแตกต่างกับการเมืองในอดีต พรรคการเมืองต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง เป็นไปตามยุคสมัยโดยไม่ละทิ้งอุดมการณ์ของพรรค แต่ถ้าพรรคใดมีความคับแคบ ปิดหูปิดตา ไม่ฟังเสียงสะท้อนของประชาชน พรรคเหล่านั้นจะห่างเหินออกจากประชาชนไปเอง.