เมื่อวันที่ 21 ก.ค. นายประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งเป็นสว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ เปิดเผยว่า ในการประชุมวุฒิสภาในวันที่ 23 ก.ค.นี้ มีวาระการเลือกประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภา อีก 2 คน โดยกลุ่มสว.พันธุ์ใหม่มีความชัดเจนแล้วว่าจะเสนอชื่อ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส เป็นประธานวุฒิสภา รวมถึงเสนอชื่อนายแล ดิลกวิทยรัตน์ สว. ลงชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 และนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ซึ่งถ้าเป็นไปตามข้อบังคับการประชุม แต่ละคนก็จะต้องแสดงวิสัยทัศน์ ซึ่งตนเชื่อว่า น.ส.นันทนาจะแสดงวิสัยทัศน์ในเชิงบวกว่าคุณสมบัติของคนที่เป็นประธานวุฒิสภาควรจะเป็นอย่างไร ส่วนจะได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ สว.แต่ละคนว่าจะมีความเห็นอย่างไร หลังจากฟังการแสดงวิสัยทัศน์ของทั้ง 3 คนแล้ว แต่เชื่อว่าคงจะมีการประนีประนอมกับกลุ่ม สว.สายสีน้ำเงิน เพราะฉะนั้นการประชุมในวันที่ 23 ก.ค.นี้ คงจะราบรื่นไม่มีอะไร และลงมติกันไป
“ผมสนใจตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 มากกว่า ว่าสว.สายสีน้ำเงินจะลงมติกันอย่างไร ถ้าไม่ให้ สว.พันธุ์ใหม่สักตำแหน่ง เชื่อว่าสังคมและสื่อมวลชนก็คงจะช่วยกันตรวจสอบว่ามีคนที่มีคุณสมบัติที่ดีแล้วไม่เลือก คนที่ยกมือสนับสนุนก็ต้องรับฟังเสียงสังคม ผมคิดว่าสังคมก็เคลื่อนไปแบบนี้ จะไปพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินครั้งเดียวคงไม่เป็นอย่างนั้น”นายประภาส กล่าว
เมื่อถามว่าการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนจะเป็นอุปสรรคในการทำงานของ สว.มีปัญหา โดยเฉพาะการพิจารณากฎหมายสำคัญๆ และการเลือกองค์กรอิสระ หรือไม่ นายประภาส กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงยาก เพราะต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 คือ 67 คน ซึ่งบางมาตราอาจจะเห็นด้วย อาจจะไม่ต้องแก้ไขหรือยกร่างใหม่ทั้งฉบับ แต่ตนคิดว่ามีหลายมาตราน่าจะเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการแก้ไข อยู่ที่จุดมุ่งหมายว่าต้องการที่จะไปปฏิรูปใหม่ก็ต้องมีการตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร ) เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ต้องยอมเสียเวลา ถ้าถามว่ายากก็ยากอยู่แล้ว ที่ผ่านมามีตั้ง 13 ร่าง ดังนั้นตนคิดว่าคงจะมีการแก้ไขบางมาตราที่เป็นปัญหาจริงๆ รวมทั้งการเลือก สว. ที่ผ่านมา น่าจะมีการทบทวนใหม่ แต่ไม่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ต้องให้ทำงานกันไปก่อน อาจจะเป็นช่วงปลายสมัยของ สว.ชุดนี้
เมื่อถามว่าจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอให้มีสภาเดียว นายประภาส กล่าวว่า พรรคก้าวไกลพูดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เสนอได้แต่แก้ไม่ได้เหมือนเดิม ถ้ามีสภาเดียวก็ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ แต่เสียงพรรคก้าวไกลมีอยู่นิดเดียว สว.ก็ถูกคุมได้แล้วจะไปแก้อย่างไร แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ มานิดนึงทั้ง 2 ระบบ สว.ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่หลังรัฐประหาร ผู้คนก็ยังทนกันมาได้ แต่ก็ยังมีการเปรียบเทียบ กับ สว.ชุดที่แล้ว ที่มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ก็มีการเอารัฐมนตรีมาสรรเสริญกัน ครั้งนี้ก็อาจจะมีแต่คงไม่ใช่ทั้งหมด จะมีการทำงานในเชิงตรวจสอบ ก็จะมี สว.ที่ไม่ใช่สีน้ำเงินแม้จะไม่มาก ถ้าขยันทำงาน เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือน สว.ที่มาจากการเลือกตั้งปี 40 ที่ขยันทำงานเข้มแข็ง อย่าง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ และนายจอห์น อึ๊งภากรณ์ แม้จะมีข้อจำกัด แต่ก็ทำให้เห็นผลงานได้
“เพราะฉะนั้น สว.ชุดนี้ก็ยังย่ำอยู่เหมือนเดิมไม่ได้เป็นตามไปตามเจตนารมณ์ของคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ ที่อยากให้ระบบการเลือกแบบนี้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนกลุ่มอาชีพ ถือว่าประสบความล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด
ดังนั้นคนในสังคมก็ต้องช่วยกันตรวจสอบรวมถึงสื่อมวลชนจับจ้องอยู่คงทำอะไรไม่ได้มาก และไม่น่าจะถึงกับปิดประตูตีแมว หรืออยู่ในแดนสนธยา” นายประภาส กล่าว.