เมื่อวันที่ 21 ก.ค. จากกรณี พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม เข้าระงับเหตุนายบุญมา หรือ เฮียตุ๊ง อายุ 49 ปี คลุ้มคลั่ง จนถูกยิงเสียชีวิต และด.ต.ไชยวัฒน์ อัตโสภณวัฒนา ผบ.หมู่ป.สน.ท่าข้าม ถูกสะเก็ดกระสุนกระเด็นใส่ที่บริเวณนิ้วโป้งมือซ้าย ได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนที่ผ่านมา ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านพระราม 2 กรุงเทพฯ
ความคืบหน้าล่าสุด พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 พร้อมด้วย พ.ต.อ.เลิศศักดิ์ เขียมทรัพย์ ผกก.สน.ท่าข้าม นำเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและชันสูตรศพนายบุญมา ที่ถูกยิงเสียชีวิตบนเตียงนอนลักษณะตะแคงซ้ายห้อยขาทั้ง 2 ข้าง ที่บริเวณชั้นลอย พบปืนไม่ทราบขนาดตกด้านขวาของร่างกาย มีบาดแผลกระสุนปืนที่ขมับขวา และเลือดแห้งกรัง นอกจากนี้ยังพบร่องรอยกระสุนเกือบ 100 นัด ในที่เกิดเหตุ ต่อมาเจ้าหน้าที่เรียกให้ลูก 3 คนของเฮียตุ๊งที่สังเกตการณ์อยู่หน้าบ้าน เข้าไปพูดคุยที่หน้าบ้านและดูศพพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนให้มูลนิธิร่วมกตัญญูนำศพส่ง รพ.ศิริราช เพื่อชันสูตรสาเหตุการตายที่แท้จริง
เพื่อนบ้านตรงข้ามกับบ้านของเฮียตุ๊ง กล่าวว่า ช่วงเกิดเหตุได้ยินเสียงตำรวจมาเรียกเฮียตุ๊ง ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ภาพที่เห็นคือตำรวจล้มลงหลังถูกยิง ตอนนั้นตนรีบหาที่กำบังหมอบทันที เพราะเกรงว่าจะถูกกระสุน ยอมรับว่าตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ที่ผ่านมาเฮียตุ๊งมักจะมานั่งกินเหล้าด้วยบ่อยครั้ง เพราะร้านชำตัวเองอยู่ตรงข้ามบ้าน และเห็นเขาพกอาวุธปืนมาด้วย โดยแต่ละครั้งที่มานั่งกินกัน เขาก็ชอบบ่น ชอบพูดให้ฟังว่า “เครียด ไม่ได้อยู่กับลูกกับเมีย มีเงินใช้ไปจนตาย แต่ลูกเมียก็ไม่อยู่ด้วย” และยิ่งเวลากินเหล้า เขาก็ยิ่งอารมณ์ร้อน เดือดง่าย บางครั้งก็สร้างปัญหาให้เพื่อนบ้าน ตนเคยเตือนเคยบอก แต่เขาก็ชอบพูดว่า “กูมีบัตรบ้า กูยิงคนไม่ผิด”
ขณะเดียวกัน เพื่อนบ้านหญิงชราอีกราย บอกว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงปืนประมาณ 2 ชุด เปิดหน้าต่างออกมาดู พบว่ามีตำรวจ 2 นาย มาดูที่เกิดเหตุ จากนั้นเห็นว่าตำรวจถูกยิงตกใจ แต่ก่อนหน้านั้นตนเห็นภรรยาของเฮียตุ๊งมาที่บ้านแล้ว เพราะได้ยินลูกบอกว่า “แม่ขึ้นรถพยาบาลไปด้วย”
เปิดพฤติการณ์ “เสี่ยตุ๊ง” ปืนโหด ชอบใช้ความรุนแรง ลวงลูก-เมียมาหาก่อนคลั่ง!
เมื่อถามว่าเฮียตุ๊งเป็นคนนิสัยยังไง เพื่อนบ้านรายนี้ บอกว่า เมื่อก่อนเฮียตุ๊งเป็นคนใจดี เวลาชุมชนมีกิจกรรม ก็จะช่วยเหลือตลอด แต่ระยะหลังตั้งแต่ช่วงโควิดมา เฮียตุ๊งเปลี่ยนไป เป็นคนอารมณ์ร้อน จะทะเลาะกับลูก เคยไปโวยวายตามลูกที่ทำงานลูก จนชาวบ้านเห็นเป็นประจำและตำรวจก็ได้รับแจ้งเหตุเป็นประจำ เคยมีครั้งหนึ่งลูกสาวได้วิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือกับชาวบ้านและตำรวจได้เข้ามาช่วยไว้ทัน
และทุกครั้งที่เฮียตุ๊งทะเลาะกับลูกก็จะเอาปืนมายิงเฉลี่ยเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่สิ่งที่ชาวบ้านกลัวและกังวลคือเรื่องที่เฮียตุ๊งขับรถเร็ว เร็วมาก แบบถ้าใครถูกชนคือตายได้เลย เป็นสิ่งที่ชาวบ้านกลัวและกังวล ส่วนเรื่องยิงปืนหรือทะเลาะกับลูก ไม่ค่อยกระทบเพราะจะทะเลาะกันในบ้าน แต่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนรู้สึกเสียใจ เพราะมีตำรวจดี ๆ ต้องเสียชีวิตจากเหตุที่เป็นเรื่องทะเลาะในครอบครัว
ด้าน พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น. 9 เปิดเผยว่า การเสียชีวิตของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม เป็นกรณีที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ส่วนนี้ยืนยันจะดูแลอย่างเต็มที่ โดยมีสวัสดิการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาลและกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ที่จะเข้ามาดูแล
ขณะที่รายละเอียดเป็นการยิงตัวตายหรือวิสามัญยังไม่ได้ข้อสรุปต้องรอผลชันสูตรศพ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พบศพพบว่าเลือดแห้งแล้ว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ได้เดินทางมาระงับเหตุด้วยตัวเอง พร้อมกับ ด.ต.ไชยวัฒน์ ครั้งแรกที่เดินทางมาถึงได้พบว่าผู้ก่อเหตุ และลูก 2 คน อยู่ภายในบ้าน ญาติได้ขอร้องให้ช่วย ตำรวจพยายามเข้าไปภายในบ้าน เพื่อเข้าประกบตัวผู้ก่อเหตุ แต่ระหว่างนั้นลูกของผู้ก่อเหตุได้วิ่งสวนออกมาทางประตูด้านหน้าทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกระสุนปืนยิงใส่ และไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุตั้งใจยิงหรือไม่ สำหรับ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ มีรายงานว่า จะเกษียณอายุราชการในปี 2568 จากข้อมูลพบว่าเจ้าตัวเป็นคนขยันทำงาน และมักเข้าระงับเหตุสำคัญด้วยตัวเองมาโดยตลอด
สำหรับศพของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ในวันนี้เจ้าหน้าที่นิติเวชจะชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด ก่อนจะนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดยางสุทธาราม ย่านบางกอกน้อย วันพรุ่งนี้ (22 ก.ค.) ส่วนด้านของผู้ก่อเหตุ ขณะนี้เจ้าหน้าที่สอบปากคำไปแล้ว 6 ปาก ประกอบด้วยภรรยาผู้ก่อเหตุ และลูกของผู้ก่อเหตุอีก 5 คน พบว่า ทั้งหมดอยู่ในอาการเครียด ส่วนสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้น้ำหนักสาเหตุการเสียชีวิตของเฮียตุ๊งไปที่การจบชีวิตตัวเอง เนื่องจากเมื่อเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าเลือดในที่เกิดเหตุแห้งแล้ว แต่ความชัดเจนต้องรอผลพิสูจน์หลักฐานจากทาง แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลศิริราชต่อไป