น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ความสัมพันธ์ 101 ทางช่องยูทูบ “ShaAeng” ตอนที่ 23 “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” ช่วงหนึ่งว่า ในช่วงสมัยที่ตนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย มักจะมีสายตาจากทางเพื่อนร่วมชั้น และอาจารย์ จับจ้องในฐานะที่ตนเป็นลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ ซึ่งในขณะนั้น ได้มีการชุมนุมแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย ทางฝ่ายที่ไม่ชอบนายทักษิณ และฝ่ายที่ยังชอบนายทักษิณ ซึ่งตนมองว่า เป็นประชาธิปไตยที่เกิดขึ้น ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งตั้งแต่ที่นายทักษิณ เข้ามามีบทบาททางการเมือง ก็ได้มีการพูดคุยกันภายในครอบครัว ถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงสถานการณ์ในขณะนั้น และสามารถตอบคำถามกับคนอื่นๆ ได้ และตนก็ไม่ได้มีความสงสัยในตัวของนายทักษิณ เพราะมองว่าเป็นประชาธิปไตย ที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในขณะนั้น ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ขึ้นป้าย “คนขายบะหมี่ยังเสียภาษี แต่นายกฯ ของประเทศกับไม่เสียภาษี” ซึ่งยอมรับว่า เมื่อตนเห็นป้ายดังกล่าว ในใจตนก็แหลกเหลว และในใจคิดว่า อย่ามองมาที่ตน เพราะตนกำลังเดินผ่านป้ายที่เขียนว่า พ่อตนใหญ่มาก แต่ภายนอกตนก็ต้องทำเป็นเข้มแข็ง และเดินผ่านไปอย่างปกติ ซึ่งมองย้อนกลับไป ตนเข้าใจตัวเองในช่วงอายุนั้น ว่าคงรับกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ไหว แต่เราก็ต้องเข้มแข็ง “คนมองฉันเยอะ ฉันต้องเก่ง คุณพ่อฉันเป็นนายกฯ ฉันเข้าใจพ่อ ฉันโดนว่าเรื่องส่วนตัว ฉันโดนว่าพ่อ มันหลายอารมณ์”
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ในบางครั้งก็โดนผู้ใหญ่พูดจากระทบตนด้วยคำพูดที่รุนแรง อย่างเช่นอาจารย์ที่กำลังสอนตน ได้หันมาทักทายตน พร้อมกับบอกว่า “อ้าว อุ๊งอิ๊ง ยังอยู่อีกเหรอ” ซึ่งเหมือนว่า เขาคงคิดว่าตนคงจะทนแรงกดดันไม่ไหว และลาออกไปแล้ว และพูดกับตนต่ออีกว่า “งั้นอาจารย์ก็นินทาเธอลับหลังไม่ได้แล้วสิ” และตนก็ตอบแบบติดตลกไป
ผู้ดำเนินรายการจึงถามต่อว่า น.ส.แพทองธาร ทำอย่างไร ที่รับแรงกดดันและสามารถเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ครอบครัวและเพื่อนอยู่รอบข้างตนในวันนั้น ที่ทำให้ผ่านมาได้ ซึ่งเพื่อนก็มีความเห็นใจตน คอยช่วยดูเวลามีใครที่ต้องการเข้ามาแกล้ง หรือพูดให้ไม่สบายใจ และที่บ้านเองก็พูดคุยกันเยอะ และมีช่วงหนึ่ง หลังจากเกิดการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ช่วงปี 2549 ในขณะนั้นครอบครัวของตนได้เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร ซึ่งตนยังอยู่ที่เมืองไทย เพราะต้องการเรียนให้จบ ซึ่งตนอยู่คนเดียว 7 เดือน ซึ่งมีวันหนึ่ง ตนรู้สึกว่ากดดันมาก จึงได้โทรฯ ไปหา น.ส.พิณทองทา คุณากรวงศ์ ผู้เป็นพี่สาว และตนได้ร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังแล้วบอกว่าตนกดดัน ไม่ไหวแล้ว เพราะมีข่าวลือเกี่ยวกับนายทักษิณเยอะ เพราะขณะนั้น นายทักษิณไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว จนทำให้คุณแม่ (คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร) โทรฯ กลับมาหาตน และให้หยุดเรียนและเดินทางมาที่ต่างประเทศด้วยกัน เพราะเห็นแล้วว่าจิตใจของตนรับไม่ไหว พ่อและพี่ชายก็ต่างโทรฯ กลับมาหาตน ซึ่งทุกคนเดือดร้อนกับเรื่องนี้ และตนก็กลับมาย้อนคิดว่า การร้องไห้ทำให้ทุกคนสั่นคลอน จนต้องกดอารมณ์ไว้ และทำให้ตนร้องไห้อีกไม่ได้เป็นเวลาเกือบ 1 ปี มองว่าหากปัจุบันตนมีอาการเช่นนี้อีก คงต้องได้ไปพบกับจิตแพทย์
ผู้ดำเนินรายการถามอีกว่า สิ่งที่ต้องเจอในวันประกาศรัฐประหาร เป็นอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนั้นคือวันที่ต้องทำการสอบปลายภาค ตนอ่านหนังสืออยู่กับเพื่อน และมีโทรศัพท์จากคุณแม่ว่าให้ออกมาจากตรงนั้นด่วน และเดินทางไปที่เซฟเฮาส์ แทนที่จะเดินทางกลับไปที่บ้าน และตอนนั้นรู้สึกว่ากลัวมาก เพราะไม่รู้ว่าความอันตรายจะมาถึงตัวเราเมื่อไหร่ และมีการเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าเราจะถูกจับหรือไม่ และตนก็ไม่สามารถไปมหาวิทยาลัยได้ และไปตามสอบย้อนหลังแทน ตนคิดว่าที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ คือการได้รับความรักที่สมบูรณ์จากครอบครัว