สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ว่า บริษัทแมคโดนัลด์ หนึ่งในเครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่ที่สุดของโลกจากสหรัฐ รายงานยอดขายเมื่อไตรมาสที่สองของปีนี้ หรือระหว่างเดือน เม.ย.-มิ.ย. ที่ผ่านมา สำหรับสาขาที่เปิดมานานไม่ต่ำกว่า 1 ปี ลดลง 1% ถือเป็นการลดลงครั้งแรก นับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่การแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 อยู่ในระดับสูงสุด


ขณะที่ยอดขายเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของแมคโดนัลด์ ลดลงเกือบ 1% ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากราคาอาหารหลายเมนูที่แพงขึ้น ซึ่งแมคโดนัลด์ยังคงยืนยันเหตุผล ว่าเป็นเพราะราคาวัตถุดิบหลักหลายชนิด ราคากระดาษที่ใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ และค่าจ้างที่แพงขึ้น ตามอัตราเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบในตลาดบางประเทศแพงขึ้นมากถึง 40% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และทำให้ราคา “บิ๊กแมค” ในสหรัฐแพงขึ้นแล้ว 21% นับตั้งแต่ปี 2562 โดยตอนนี้อยู่ที่ 5.29 ดอลลาร์สหรัฐ


อนึ่ง แมคโดนัลด์เคยเผยแพร่รายงานวิเคราะห์ฉบับหนึ่ง เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ว่าภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วโลกพิจารณามากขึ้น ในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการเลือกซื้อสินค้าเพื่อบริโภค ด้วยเหตุนี้ แมคโดนัลด์ในสหรัฐ จึงนำเสนอชุดเมนูแบบประหยัด ราคาชุดละ 5 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 180 บาท) เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าไปในทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ข้อมูลส่วนนี้ไม่ทันที่จะเข้าไปอยู่ในรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่สอง


ส่วนรายได้ของแมคโดนัลด์ เมื่อไตรมาสที่สอง อยู่ที่ราว 6,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 237,534 ล้านบาท) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้เล็กน้อย.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES