เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้นำผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมงาน “BIMSTEC Business Summit” ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งเป็นงานที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาคและมีความสำคัญสำหรับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการประชุมร่วมกันกับสมาชิกบิมสเทค ซึ่งอยู่ในภูมิภาคอ่าวเบงกอลทั้งหมด 7 ประเทศ ประกอบด้วย บังกลาเทศ อินเดีย ภูฏาน เนปาล เมียนมา ศรีลังกา และไทย โดยมีประชากรรวมกันถึง 1,800 ล้านคน

โดยตนได้ร่วมกล่าวว่าปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ การบังคับใช้ความตกลง “BIMSTEC FTA” โดยเร็ว จะเป็นแรงขับเคลื่อนการบูรณาการทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาคบิมสเทค ได้อย่างไร ซึ่งตนได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกบิมสเทค เร่งสรุปผลการเจรจา FTA ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด โดยชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะเป็นการขับเคลื่อนการบูรณาการทางเศรษฐกิจของภูมิภาคครั้งใหญ่ ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน

“ซึ่งหากผลของความสำเร็จในการทำ BIMSTEC FTA ได้สำเร็จ ประเทศไทยเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในเอเซียใต้ จะได้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มกันของประเทศในภูมิภาคอ่าวเบงกอล ที่มีตลาดส่งออกที่ใหญ่ อย่างอินเดีย เป็นไปตามนโยบายของท่านรองนายกฯภูมิธรรม ที่จะเปิดตลาดใหญ่อินเดีย ให้กับผู้ประกอบการไทย” นายสุชาติ กล่าว

นอกจากนี้ ในการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 ไทยจะเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมต้อนรับการเยือนของผู้นำประเทศสมาชิก ที่กรุงเทพมหานคร วันที่ 4 กันยายน 67 ซึ่งเป็นการประชุมผู้นำแบบ Onsite ครั้งแรกในรอบ 6 ปี โดยจะมีการเห็นชอบ Bangkok Vision 2030 ตามที่ไทยได้เสนอ เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือของบิมสเทคสู่การเป็นภูมิภาคที่มั่งคั่ง ยั่งยืน ฟื้นคืน และเปิดกว้าง ภายในปี 2573

นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนเข้าร่วมงาน ตนได้พบกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา (นายมินน มินน) ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ในประเด็น ที่ไทยขอให้เมียนมาพิจารณาผ่อนคลายกฎระเบียบการขอใบอนุญาตนำเข้าให้กับสินค้าไทย ตลอดจน มาตรการ ห้ามนำเข้าสินค้าทางบกเป็นการชั่วคราวในสินค้า ได้แก่เครื่องดื่มและนมข้น รถยนต์ ปูนซีเมนต์ ซึ่งเมียนมาเริ่มใช้มาตรการตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ รวมถึงผ่อนคลายกฎระเบียบอัตราแลกเปลี่ยนรายได้จากการส่งออก (Export Earning) ให้เป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการค้าและการลงทุน  ซึ่งรมช.พาณิชย์เมียนมา ยินดีที่จะให้ความร่วมมือตามที่ไทยขอ

ปัจจุบันไทยมีความตกลง FTA ทวิภาคี กับประเทศสมาชิก ได้แก่ FTA ไทย-อินเดีย, อาเซียน-อินเดีย (ไทยเป็นสมาชิก) FTA ไทย-ศรีลังกา (คาดว่าจะบังคับใช้ 1 ม.ค. 68) FTA ไทย-ภูฏาน (คาดว่าจะสรุปผลได้ภายในปี 68) ไทย-บังกลาเทศ (ลงนามแสดงเจตจำนงเริ่มเจรจา FTA ภายในปี 68) ทั้งนี้ ไทยพร้อมที่จะสนับสนุนการเจรจาทบทวนการค้าสินค้าภายใต้อาเซียนอินเดีย FTA ให้มีการสรุปผลสำเร็จได้ภายในปี 2568

สถิติการค้า ปี 2566 การค้าไทย-บิมสเทค มีมูลค่า 25,191.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปบิมสเทคมูลค่า 16,023.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าของไทยจากบิมสเทคมูลค่า 9,168.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 6,855.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย (2566) ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ไขมัน และน้ำมันจากพืชและสัตว์ น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง และเครื่องดื่ม ตามลำดับ สินค้านำเข้าสำคัญของไทย (2566) ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามลำดับ