เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ ( 8 ส.ค. 67) น.ส.พรนภา (สงวนนามสกุล) ครูประจำโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.อุทัยธานี ได้เปิดเผยว่า ตนถูกแก๊งมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นตำรวจ ติดต่อมาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาตนพัวพันกับยาบ้า 2 แสนเม็ด โดยอ้างว่าสืบทราบมาจากซิมโทรศัพท์มือถือค่ายหนึ่ง ก่อนวีดีโอคลอคุยกันสดๆที่หน้า สภ.เมือง จ.นครสวรรค์ ทำให้ตนหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ก่อนถูกหลอกให้โอนเงินประกันตัวหลักหมื่นบาท ซ้ำยังให้กู้เงินสหกรณ์ ขอทั้งโฉนดที่ดิน ทองคำ ก่อนเพื่อนครูช่วยดึงสติ ทำให้สูญเงินไปแค่หลักหมื่นบาท ซ้ำยังเป็นเงินที่ยืมเพื่อนครูด้วยกันมาอีกด้วย เนื่องจากวันนั้นตนเองมีเงินในบัญชีแค่ 7 บาท
โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 09.40 น. มีสายโทรเข้ามาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานกฎหมายของบริษัทค่ายมือถือแห่งหนึ่ง แจ้งว่ามีการแอบอ้างชื่อไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ที่ห้างสรรพสินค้า จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 13.45 น. จึงแนะนำให้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมทำหนังสือแจ้งความบริสุทธิ์ จากนั้นมีตำรวจโทรมาแจ้งว่า ตนมีคดีพัวพันยาเสพติดมูลค่า 8.5 ล้านบาท เป็นยาบ้า 200,000 เม็ด ตอนนั้นตนเองได้มีการปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด ยืนยันว่าไม่ได้ไปจังหวัดนครสวรรค์ในวันเวลาดังกล่าว
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอไลน์และวิดีโอคอลเพื่อยืนยันตัวตน จากนั้นได้ส่งข้อมูลทะเบียนราษฎร์และเล่มบัญชีม้ามาให้ จากนั้นได้มีการแสดงเอกสารเพิ่มเติม อย่าง บัญชีของกลางคดีอาญา คำสั่งศาล และอ้างว่าอยู่หน้า สภ.นครสวรรค์ ซึ่งตอนที่วีดีโอคลอคุยกันนั้น ก็เป็นภาพวีดีโอที่อยู่หน้า สภ.เมืองนครสวรรค์ จริงๆ มีการเดินเข้าไปเคาะประตู มีการวอวิทยุพูดคุยกันเป็นระบบขั้นตอนเหมือนกับเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงๆ
หลังจากที่มิจฉาชีพได้ส่งไม้ต่อให้กับมิจฉาชีพที่อ้างตัวว่าเป็นผู้กำกับก็ได้บอกตนเองว่า ตอนนี้ตนเองตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินและคดียาเสพติด โดยหมายศาลจะมาถึงบ้านในอีกไม่กี่วันนี้ ต้องส่งข้อมูลเลขบัญชีและหลักทรัพย์ทั้งหมดให้กับตำรวจเพื่อใช้ในการประกันตัว ตอนนั้นก็รู้สึกตกใจมากและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ตำรวจบอกว่าต้องมีหลักทรัพย์ 100,000 บาทเพื่อประกันตัว ซึ่งตนเองก็ได้บอกไปว่า ไม่มีเงินมากขนาดนั้น หลังจากนั้นก็บอกว่าต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย 10,000 บาท เพื่อแสดงว่าไม่ได้ฟอกเงิน ก่อนสอบถามถึงทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น ทองรูปพรรณและโฉนดที่ดิน หากมีจะถูกยึดเป็นของกลางทั้งหมด ขณะที่คุยกัน นั้นทางมิจฉาชีพจะไม่วางสายและย้ำว่าไม่ให้บอกใครเพราะเป็นคดีใหญ่ที่สุดในนครสวรรค์ ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ และยังมีคนร้ายหลบหนีมาในจังหวัดอุทัยธานี ด้วยความตกใจกลัวจึงไปขอยืมเงินเพื่อนครูด้วยกันมา 10,000 บาท แล้วโอนเงินตามที่คนร้ายบอกไป ซึ่งตอนนั้นทั้งบัญชีตนเองมีเพียงแค่ 7 บาทเท่านั้น
หลังจากโอนเงินไปให้แล้วทางมิจฉาชีพ ก็ได้บอกว่า หลักทรัพย์ไม่เพียงพอ ทางสภ.จึงต้องไปตรวจรอยสักที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ หากไม่มีรอยสักตามที่กล่าวอ้าง ทางสภ.จะคืนเงินทั้งหมดพร้อมหนังสือแสดงความบริสุทธิ์ให้ และส่งไปให้ทางยังค่ายมือถือเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา ตอนนั้นตนได้เพื่อนครูที่มาเจอกันพูดเตือนจนได้สติ จึงโทรหาตำรวจที่รู้จักเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเอกสารที่ได้รับมา ทางตำรวจแจ้งว่าไม่มีเอกสารลักษณะดังกล่าว และให้รีบไปที่สถานีตำรวจใกล้ที่สุดเพื่อแจ้งความอายัดบัญชีธนาคาร จากนั้นมิจฉาชีพได้ยกเลิกข้อความเอกสารที่ส่งมาทั้งหมด จึงทำให้มั่นใจว่า ถูกหลอกแล้ว
จากนั้นจึงได้เดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ซึ่งทางผู้กำกับได้แจ้งว่า มีผู้เสียหายหลายราย ถูกมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นตำรวจเช่นเดียวกัน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวจังหวัดนครสวรรค์ หลังจากกลับมาจากสถานีตำรวจ จึงได้ตัดสินใจนำหลักฐานทั้งหมดมาโพสต์ลงในโซเชียลเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้อื่น เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว ก็หวังว่าจะไม่มีใครตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจังหวัดอุทัยธานีและผู้ที่ทำงานอย่างสุจริตทุกคน และที่สำคัญคือมิจฉาชีพมาในรูปแบบใหม่คือ วีดีโอกันที่หน้าสภ. ซึ่งต่างจากที่เคยเจอกันมา ประกอบกับจังหวะตอนที่ถูกกล่าวหาว่าเปิดบัญชีม้า ด้วยความกลัวว่าจะกระทบกับอาชีพ หากถูกให้ออกจากราชการจะทำอย่างไร เพราะตนเองนั้นใช้ความพยายามและรักในอาชีพนี้มาก จึงทำให้หวั่นไหวไปกับมิจฉาชีพไป.