สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ว่าแหล่งข่าวระดับสูงด้านความมั่นคงของยูเครนยืนยัน การเป็นผู้เปิดฉากปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินในรัสเซีย “เพื่อทำลายฐานที่มั่นของศัตรู สร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด และทำลายเสถียรภาพของรัสเซีย ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถปกป้องพรมแดนของตัวเองได้”


ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวรายนี้กล่าวด้วยว่า ปฏิบัติการที่กำลังเกิดขึ้นเป็นการสะท้อนว่า ยูเครนสามารถปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกได้เช่นกัน และดูเหมือนว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า รัฐบาลมอสโกมีปัญหากับการเตรียมพร้อมในเชิงรับ


ทั้งนี้ทั้งนั้น แหล่งข่าวของรัฐบาลเคียฟยืนยันว่า กองทัพยูเครนไม่มีเป้าหมายต้องการยึดครองพื้นที่ในรัสเซีย “เนื่องจากปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ” และกล่าวถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในภูมิภาคเคิร์สก์ ว่าขอให้ทุกฝ่ายจับตาดูต่อไปอย่างใกล้ชิด

ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวถึงสถานการณ์ที่ภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซีย ว่ารัฐบาลมอสโก “ต้องสัมผัสกับผลกระทบของสงคราม” จากการเป็นฝ่ายรุกรานยูเครนก่อน และแสดงท่าทีชัดเจนมากขึ้น ด้วยการกล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ว่าได้รับรายงาน “เกี่ยวกับสถานการณ์บนแนวรบส่วนหน้า” จากพล.อ.โอเล็กซานเดอร์ ซีร์สกี ผู้บัญชาการกองทัพยูเครน ว่า “ทหารกำลังพยายามผลักดันสงครามให้กลับคืนไปยังดินแดนของผู้รุกราน”


ขณะที่รัสเซียอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 76,000 คน ออกจากเมืองหลายแห่งในภูมิภาคเคิร์สก์ เบลโกรอด และเบรียนสก์ ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ และติดกับพรมแดนของยูเครน

ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงของรัสเซียกล่าวว่า ยูเครนส่งทหารไม่ต่ำกว่า 1,000 นาย รุกล้ำข้ามพรมแดนในภูมิภาคเคิร์สก์ ทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งถือว่ามากที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่สงครามระหว่างทั้งสองประเทศเปิดฉาก เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 แต่แหล่งข่าวของยูเครนกล่าวว่า จำนวนทหารที่ส่งไปปฏิบัติการครั้งนี้ “มากกว่าที่รัสเซียคาดการณ์ไว้”


อนึ่ง กองทัพรัสเซียปฏิบัติการภาคพื้นดิน ที่ภูมิภาคคาร์คิฟ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาถึงภูมิภาคซูมีที่อยู่ใกล้กัน โดยซูมีเป็นภูมิภาคซึ่งยูเครนใช้เป็นฐานเปิดฉากข้ามพรมแดนครั้งนี้ ตามข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงรัสเซีย.

เครดิตภาพ : AFP