วานนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ประกาศจะร้อง กกต.ยุบพรรคประชาชน เนื่องจากเป็นพรรคที่ไปเทคโอเวอร์มาจากพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคที่สาขาพรรคไม่ครบ 4 ภาค แต่ต่อมา นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ได้ออกมาบอกว่า พรรคประชาชนได้ตั้งสาขาพรรคครบแล้ว และพร้อมส่งผู้สมัครชิง สส.พิษณุโลก
ปรากฏว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ไม่ยอมแพ้ โดยอ้างคำพูดนายแสวงว่า “1 สัปดาห์ก่อน มีการประชุมจัดตั้งสาขาพรรคจนครบ” นพ.วรงค์อ้างว่า “ไม่ได้ตรวจสอบตอนปัจจุบัน ย้อนหลังคุณอาจจะมีไม่ครบ กกต.ต้องตรวจสอบการมีสาขาย้อนหลังของพรรคนี้ไปจนถึงวันที่กฎหมายพรรคการเมืองมีผลบังคับ นั่นคือต้องตรวจสอบการมีสาขาครบ 4 ภาค ไปถึงปี 2560” และว่า หากพรรคการเมืองไปเซ้งพรรคที่สิ้นสภาพ เพราะมีสาขาไม่ครบ 4 ภาค ติดต่อกัน1ปี ต่อไปพรรคที่ไปเซ้งจะเป็นเช่นไร จะสิ้นสภาพตามหรือไม่ ดังนั้น วันที่ 14 ส.ค.จะไปยื่นร้องเรียนต่อ กกต.
นพ.วรงค์ ยังได้ติดแฮชแทคในโพสต์ว่า #ฝ่ายค้านแห่งชาติ ซึ่งเรื่องนี้ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคประชาชน กล่าวว่า ตอนที่เป็นพรรคถิ่นกาขาวฯ ก่อนจะที่จะย้ายมาเป็นพรรคประชาชน เราเองก็ได้มีการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ยืนยันว่ามีสาขาพรรคต่อเนื่องมาตลอดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ไม่มีประเด็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวล ในวันที่ 13 ส.ค.จะประชุม สส.เพื่อเสนอชื่อคนที่จะชิงรองประธานสภาของพรรค คาดว่าจะเลือก 14 ส.ค.
ขณะที่เพจพรรคประชาชนได้เชิญชวนสมาชิก แฟนคลับ ติดตามพรรคได้ที่ช่องทางใหม่ คือ Facebook: https://www.facebook.com/PPLEThai/. ,X: https://x.com/PPLEThai. Instagram: https://www.instagram.com/pplethai.,TikTok:https://www.tiktok.com/@pplethai.,YouTube: https://www.youtube.com/@PPLEThai. พร้อมเขียนระบุว่า “สามารถดูข่าวสาร คลิปวีดีโอ ภาพถ่าย ที่บันทึกการเดินทางของพรรคก้าวไกลได้ในช่องทางนี้ เราจะยังคงเป็นอนาคตใหม่ที่ก้าวไกลของประชาชนต่อไปเจอกันที่บ้านใหม่”
ยังมีคดีที่ สส.พรรคอนาคตใหม่ยื่นแก้ไข ม.112 สาระสำคัญคือ ควรแยกข้อหาเป็น “หมิ่นประมาท” “ดูหมิ่น” “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” ที่มีอัตราโทษต่างกัน มีข้อเสนอคือ “ลดโทษของกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ให้มีความสอดคล้องกับหลักสากล โดยลดโทษให้เหลือเพียง ในกรณีหมิ่นพระมหากษัตริย์ ลดโทษเหลือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีหมิ่นพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลดโทษจำคุกเหลือไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ลดโทษหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา โดยจะถูกลดลงจากโทษจำคุก 0-2 ปี เหลือแค่โทษปรับ ย้ายกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ออกจากหมวดความมั่นคง และให้เป็นความผิดที่ยอมความได้ โดยกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้มีสิทธิแจ้งความหรือร้องทุกข์กล่าวโทษเพียงผู้เดียว บัญญัติให้ชัดเจนในกฎหมาย เพื่อคุ้มครองกรณีการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตหรือการพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับเหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษสำหรับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา”
เรื่องนี้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ระบุว่า เป็นเรื่องมาตรฐานจริยธรรม ป.ป.ช.จะยื่นต่อศาลฎีกาโดยตรง ในอีกไม่ช้าจะเรียกให้ สส.ทั้ง 44 คนมาชี้แจง ยังไม่ทราบว่าจะส่งต่อศาลฎีกาได้เมื่อไร คาดว่าไม่น่าทันช่วงที่ตนเองดำรงตำแหน่งอยู่ เนื่องจากจะหมดวาระในช่วงอีก 4 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งปีนี้จะมีคณะกรรมการป.ป.ช.เกษียณอายุราชการอีก 2 คน ในช่วงปลายปีและหากรวมกับประธาน จะเป็น 3 คน จากนั้น วุฒิสภาจะสรรหาใหม่
ในส่วนการสู้คดี นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคประชาชน บอกว่า ทราบมาว่ามีการเชิญอดีต สส.ที่เคยอยู่ร่วมกันตอนพรรคก้าวไกล แต่ไม่ได้เซ็นชื่อในร่างแก้ไข ม.112 ไปให้ข้อมูล กรณี 44 ส.ส. เข้าใจว่าจะมีแค่ 1 คน ที่ไม่ได้อยู่กับพรรคก้าวไกลแล้วก็คือนายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ อดีต สส.กทม.พรรคก้าวไกล ไปแสตนขอให้ข้อมูลก่อน เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว และนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้ร่วมลงชื่อในร่างกฎหมายถูกเชิญไปให้ข้อมูลแล้ว และน.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน อดีต สส.กทม.พรรคก้าวไกล ถูกเชิญไปให้ข้อมูลเช่นกัน แต่เขาอยู่กับเรามาตลอด เชื่อว่า การให้ข้อมูลก็จะเป็นคนละแบบกับนายคารมที่จะอ้างว่าในส่วนของตนเองว่าไม่อาจเซ็นร่วมด้วยเป็นเพราะเหตุใดอย่างไร ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่อยู่ในที่ประชุม สส.
จึงกลายเป็นประเด็นน่าจับตาทันที เมื่อหลายคนมองว่า วุฒิสภาชุดปัจจุบัน คือ “สภาสีน้ำเงิน” และมีอำนาจในการเลือกองค์กรอิสระอีก การตั้งข้อสังเกตคือ “จะเลือกคนที่เป็นคุณกับฝ่ายการเมืองบางพรรคหรือไม่”
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นๆ คือ รัฐบาลจะเตรียมพิจารณาการออกกฎหมายเพื่อเปิดเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพลกซ์ ( ศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจร ) เพื่อหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงนักท่องเที่ยว แต่ต้องมีมาตรการป้องกันคนไทยกลายเป็นผีพนันด้วย และอาจมีการกำหนดเงินฝากของผู้เล่นคนไทย โดยเบื้องต้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แสดงท่าทีว่า “ขอดูกฎหมายก่อน จึงจะบอกได้ว่า เห็นด้วยหรือไม่ และยืนยันโควตารัฐมนตรี ว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ได้แทน น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. มีการเลือกตั้งนายก อบจ.ชัยภูมิ โดยผลอย่างไม่เป็นทางการเมื่อเวลา 22.30 น.มีประชาชนมาใช้สิทธิ 58.24% ผู้ที่มีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 คือ หมายเลข 1 น.ส.สุรีวรรณ นาคาศัย อายุ 41 ปี ภรรยานายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ สส.ชัยภูมิ พรรคภูมิใจไทย ได้ 210,103 คะแนน ล้มแชมป์นายอร่าม โล่ห์วีระ อายุ 74 ปี อดีตนายก อบจ.ชัยภูมิ ที่เคยได้ชนะเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ได้ 178,129 คะแนน น.ส.สุรีวรรณ จากจากพรรคภูมิใจไทย สามารถเอาชนะคู่แข่งสายพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) 2 คน คือนายอร่าม พ่อของนายอัครแสนคีรี โล่วีระ สส.ชัยภูมิ พรรค พปชร. และน.ส.จารุวรรณ จังหวะ ผู้สมัครอีกคน อายุ 41 ปี เป็นพี่สาวของ น.ส.กาญจนา จังหวะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรค พปชร.เขต 4
เรื่องสวัสดิการเด็กเล็ก รัฐต้องให้ความสำคัญ ดร.สัณห์สิรี โฆษินทร์เดชา อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง “ระบบสวัสดิการเด็กเล็กเพื่ออนาคต” ว่า เราพบว่าเด็กปฐมวัยมีความเหลื่อมล้ำในการดูแลเอาใจใส่อย่างรอบด้าน ทั้งสุขภาพที่ดี สารอาหารที่เพียงพอ สวัสดิภาพและความปลอดภัย โอกาสการเรียนรู้ โดย 64% ซึ่งอยู่ในครัวเรือนยากจนที่สุด ยิ่งมีปัญหามากกว่ากลุ่มอื่น เช่น การฝากครรภ์ต่ำกว่ากลุ่มอื่น น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ เตี้ยแคระแกร็น ผอมแห้ง อ่านออก รู้จักตัวเลขน้อย ได้รับการดูแลสั่งสอนแบบที่ใช้ความรุนแรงทางกายหรือใจ เป็นต้น
ความเหลื่อมล้ำมาจาก 1.ระบบสวัสดิการยังไม่ครอบคลุมถ้วนหน้า ไม่ยืดหยุ่น ไม่สะดวก และไม่เพียงพอ เช่น เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาท/คน/เดือนกำหนดเฉพาะกลุ่มคนจนที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 1 แสนบาท/คน/ปี ทำให้เกิดปัญหาตกหล่น มีช่องโหว่ในการดูแลเด็กเล็ก 0-2 ปี ที่ไม่มีหน่วยงานดูแลมากนัก การส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่อย่างน้อย 1 ปีค่อนข้างล้มเหลว เพราะขาดสวัสดิการลาคลอดที่เพียงพอ ขณะที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐอยู่ไกลที่พัก ไม่สอดคล้องเวลาทำงานพ่อแม่ กระบวนการรับเข้ามีหลายขั้นตอน ขาดแคลนครูและพี่เลี้ยงเด็ก ศูนย์เด็กเล็กเอกชนในระบบมีราคาแพง
ผศ.ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงวิธีแก้ปัญหาว่า กลุ่มเด็กเล็กครัวเรือนฐานะไม่ดีมี 1 ล้านคน หากเอาตามมาตรฐานต้องมีผู้ดูแลสัดส่วนเด็ก 3 คนต่อดูแล 1 คน จึงต้องการครูผู้ดูแลเด็กเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 แสนคนหรือ 1 เท่าตัว หากพ่อแม่คนใดคนหนึ่งมีการลาออกมาดูแลลูก โดยมาทำงานนอกระบบหรือกิจการอิสระ ก็เสนอว่า ให้จ่ายเงินให้พ่อแม่ที่ทำหน้าที่ดูแลเด็ก ให้สวัสดิการประกันสังคมมาตรา 33 พอเด็กอายุ 3-4 ขวบ เข้าโรงเรียนอนุบาลได้ ก็มีสวัสดิการช่วยฝึกทักษะการทำงาน รื้อฟื้นทักษะอาชีพและหางานให้พ่อแม่ทำ
ให้จัดตั้ง กมธ.เด็กปฐมวัยในรัฐสภา เพื่อเพิ่มน้ำหนักประเด็นการดูแลเด็กปฐมวัยให้มากขึ้น และจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อเพิ่มความชัดเจนให้กับภาพรวมของงบประมาณในการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ( อปท.) ผลักดันให้เกิดศูนย์ดูแลเด็กปฐมวัยชั่วคราวในชุมชน
เราต่างเคยได้ยินคำขวัญ “เด็กฉลาดชาติเจริญ” และในยุคที่กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาเด็กให้โตขึ้นอย่างมีคุณภาพสำคัญมาก รัฐบาลต้องดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง.
“ทีมข่าวการเมือง”