ความคืบหน้าในการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้การนำของ “อิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะการเลือกบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี จะต้องมีการคัดกรองและตรวจสอบอย่างเข้มข้น ภายหลัง “นายเศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) อันเนื่องมาจากการแต่งตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ โดยระบุว่า ขาดจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงทำให้หัวหน้าคนที่ 31 ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะหากพลาดพลั้ง อาจมีผลทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยิ่ง “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ในฐานะที่บิดาของนายกฯ ทิ้งไพ่ใบสำคัญ กับการส่งบุตรสาวคนสุดท้องลงสู่สนามการเมือง ทั้งๆ ที่ตนเองเคยเผชิญวิบากกรรมทางการเมือง
ขณะที่ “น.ส.แพทองธาร” ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการจัดตั้ง ครม.ว่า ต้องตรวจสอบคุณสมบัติก่อน เมื่อถูกถามว่าตอนนี้รายชื่อมาครบหรือยัง นายกฯ นิ่ง ก่อนจะหัวเราะและตอบว่า “ครบค่ะ” เมื่อถามต่อว่า ตอนนี้มาครบทุกพรรคแล้วใช่หรือไม่ รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มีปัญหาก็มาแล้วใช่หรือไม่ และพรรค พปชร.ยังอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายกฯ นิ่ง อมยิ้มก่อนจะตอบว่า “อยู่ค่ะ”
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าในส่วนของพรรค พปชร.ที่แถลงยืนยันว่า ได้ส่ง 4 รายชื่อ ซึ่งเป็นรายชื่อ รมต. เดิมที่ร่วมงานกับรัฐบาลนายเศรษฐา อาจได้โควตาเหลือ 2 เก้าอี้ คาดว่าจะมีชื่อ “นายอรรถกร ศิริลัทธยากร” สส.ฉะเชิงเทรา ส่วนอีก 1 เก้าอี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ หากชื่อ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค พปชร. ได้เสนอชื่อ “นายอัครา พรหมเผ่า” น้องชาย ร.อ.ธรรมนัส และ “นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์” หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน นั่นหมายความว่า โควตา ครม. ส่วนของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ซึ่งอาจจะนำไปมอบให้ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะเข้ามาแทน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรค พปชร. ที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “พล.อ.ประวิตร” กับ “ร.อ.ธรรมนัส” เมื่อวันที่ 23 ส.ค. “บิ๊กป้อม” ได้เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะเลขาธิการพรรค ไม่ได้เข้าร่วม โดยระบุว่าติดภารกิจไปราชการภาคเหนือ เช่นเดียวกับ กก.บห. สาย ร.อ.ธรรมนัส ที่ไม่ได้เข้าร่วมเช่นกัน
ในที่ประชุม กก.บห. ได้รับรองการแถลงการณ์พรรค พปชร.ที่ยืนยันจะเข้าร่วมรัฐบาล และการพิจารณาชื่อสมาชิกพรรคให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามข้อบังคับพรรค พปชร. พ.ศ. 2561 ข้อ 171) (ฉ) และ ข้อ 92 ที่เสนอชื่อสี่บุคคลให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลเดิมและตำแหน่งเดิมในรัฐบาลที่ผ่านมา จำนวน 4 คน ดังนี้ 1.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ดำรงตำแหน่ง รมว.เกษตรฯ 3.นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ 4.นายสันติ พร้อมพัฒน์ ดำรงตำแหน่ง รมช.สาธารณสุข โดยได้รับเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งคือ 12 เสียงจากทั้งหมด 19 เสียง ทั้งนี้หากบุคคลที่เสนอชื่อไปเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ไม่ผ่านการพิจารณา ก็จะส่งกลับมาให้พรรคพิจารณาบุคคลอื่น
โดย “นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวภายหลังการประชุม กก.บห.ว่า รอแค่พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องดำเนินการไปตามที่พรรค พปชร.ส่งไป ส่วนรายชื่อไหนที่ขาดคุณสมบัติ จะต้องเปลี่ยนชื่อบุคคล จะต้องมาขอความเห็นชอบจากพรรคก่อน แต่ถ้ารายชื่อไม่ตรงตามนั้นก็ถือว่าไม่เป็นไปตามข้อตกลง
เมื่อถามว่า ตามข้อบังคับพรรค กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ไม่สามารถส่งชื่อด้วยตนเองได้ใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของพรรคการเมือง ก็ควรที่จะดำเนินการไปตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง และข้อบังคับพรรค ก็ถือเป็นหลักการประชาธิปไตย เพราะเราร่วมรัฐบาลในฐานะพรรค พปชร.ที่โหวตเลือกนายกฯ จับมือและแถลงข่าวร่วมกันไปแล้ว จึงอยากให้เป็นไปตามข้อตกลง ไปก็ไปทั้งตัว เอาก็เอาทั้งตัว เอาครึ่งตัวไม่ได้ ต้องไปทั้งพรรค ไม่อยากให้ใช้เล่ห์เหลี่ยม หรือมาหักกันเพราะจะทำให้การทำงานลำบาก เพราะพรรคก็จะเกิดความขัดแย้ง รวมถึงรัฐบาลก็จะเกิดปัญหาต่อไปในการทำงานที่ไม่ราบรื่น
“ที่ประชุมวันนี้ไม่ได้มีการพูดคุยถึง ร.อ.ธรรมนัส แต่เพียงแค่เราอยากทำให้ทุกอย่างถูกต้องตามมติของพรรค พปชร. ไม่อยากให้มีการครอบงำจากบุคคลภายนอกพรรค คือถ้าครอบงำพรรคอื่นครอบได้ แต่ไม่ควรมาครอบงำข้ามพรรค” รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าว
คงต้องมารอดูว่า พรรคแกนนำรัฐบาลจะทำตามความเห็นของ พปชร.หรือไม่ โดยเฉพาะการร้องขอว่า ถ้าจะเอาต้องเอาทั้งตัว เอาครึ่งตัวไม่ได้ ไม่ควรมีการครอบงำข้ามพรรค ซึ่งคงหมายถึง “นายทักษิณ” ที่ส่งสัญญาณว่า ต้องเลือกฝ่ายที่ทุ่มเทให้กับพรรคและที่ผ่านมาวิจารณ์บทบาท “พล.อ.ประวิตร” มาตลอดว่า มีส่วนกับการสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลพรรค พท.ตลอด เรียกว่างานนี้ต้องลุ้นบารมีของ “บิ๊กป้อม” จะยังทำให้ สส.ที่ยังอยู่ในสังกัด ได้มีโอกาสร่วมงานในฝ่ายบริหารหรือไม่ เพราะมีผลในทางการเมืองเป็นอย่างมาก
ขณะที่อีกประเด็นร้อน หนีไม่พ้นบทบาท “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ หลังออกมาโชว์วิสัยทัศน์ ระหว่างร่วมงาน Dinner Talk Vision for Thailand 2024 ที่ให้ความเห็นในนโยบายหลายเรื่อง โดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งถูกมองว่า ความเห็นดังกล่าวเป็นการชี้นำบริหาร หรือต้องการครอบงำ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ หรือไม่ ยิ่งมีสถานะเป็นบุตรสาว
แม้ “นายกฯ หญิง” คนที่สองของประเทศไทยจะยืนยัน ไม่มีการครอบงำแน่นอน เพราะก็มีความคิดเป็นของตัวเอง และค่อนข้างเป็นคนที่ชัดเจนพอสมควร แต่ถ้าหากบิดาออกมาพูดในเรื่องการทำงานของฝ่ายบริหาร และทิศทางในการทำงานของรัฐบาลด้านต่างๆ ย่อมทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบ และหลายคนคงเงี่ยหูฟังอดีตนายกฯ มากกว่า เพราะมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมา 2 สมัย ซึ่งจะส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นกับ “น.ส.แพทองธาร” มากพอสมควร ดังนั้น “นายทักษิณ” คงต้องระวังการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหาร เพราะไม่เช่นนั้นอาจเป็นปัญหากับบุตรสาว ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่หมายมั่นปั้นมือให้พรรค พท. กลับมาคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งให้ได้.