เมื่อเมื่อวันที่ 26 ส.ค. นายวัชรินทร์ ภานุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญาฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กับพวกรวม 8 คน ตามมติของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ส่งมา ในกรณีเปลี่ยนแปลงสำนวนและลดความเร็วรถของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2555

ตามที่ ป.ป.ช.มีหนังสือถึงอัยการสูงสุด แจ้งมติที่ขอให้ดำเนินคดีอาญา ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1, พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5, พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7, นายเนตร นาคสุข ผู้ถูกกล่าวหาที่ 10, นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 9, นายธนิต บัวเขียว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 12, นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 13, รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 19 ซึ่งอัยการสูงสุดได้พิจารณาและรับดำเนินคดีอาญาฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 8 คน ตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า ภายหลังอัยการสูงสุด มีคำสั่งรับดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 8 คน ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. 2567 ขั้นตอนเมื่อรับดำเนินคดีก็เท่ากับเป็นการสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 8 คน โดยในวันที่ 29 ส.ค.นี้ ช่วงเช้า ทั้ง 8 คนจะต้องเดินทางมาที่สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เพื่อนำตัวไปส่งฟ้องที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 8 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่แตกต่างกัน โดยแบ่งเป็นประเด็น ส่วนแรกคือการดำเนินคดีกับ ผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ อีกส่วนคือการดำเนินคดีกับอดีตรองอัยการสูงสุดในเรื่องการสั่งคดี และ ผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเป็นพยานของคดีนี้ ซึ่งคดีดังกล่าวทาง ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด หากอัยการสูงสุดเห็นด้วยและมีคำสั่งฟ้อง อัยการสูงสุดก็จะเป็นโจทก์ฟ้องเอง แต่ก็จะมีบางคดีที่ทาง ป.ป.ช.เห็นไม่ตรงกับอัยการสูงสุด คือ ป.ป.ช. เห็นว่าควรฟ้องดำเนินคดี แต่ทางอัยการสูงสุดเห็นว่าไม่ควรฟ้องดำเนินคดีหรือสั่งไม่ฟ้อง หากเป็นเช่นนั้นทาง ป.ป.ช. สามารถนำเรื่องไปดำเนินการฟ้องเองได้ แต่คดีนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน จึงสิ้นสุดขั้นตอนของ ป.ป.ช. และจะเป็นดุลพินิจของศาลในการพิจารณาคดี

โดยในวันที่ 29 ส.ค. 67 นี้ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาคดีพอสมควร เพราะจะใช้ระบบในการพิจารณาเป็นระบบไต่สวน โดยทางฝ่ายโจทก์ก็จะนำพยานเข้าสู่ศาล ในการสืบพยานไม่ว่าจะเป็น พยานบุคคล พยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ส่วนทางจำเลยทั้งหมดก็มีสิทธิต่อสู้ทางคดี ซึ่งการตัดสินว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดหรือไม่จะเป็นดุลพินิจของศาล เบื้องต้นส่วนตัวคาดว่าทุกกระบวนการจะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 1 ปี

นายวัชรินทร์ กล่าวยืนยันว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหา ทั้ง 8 คนจะมีตำแหน่งเป็นอดีตข้าราชการ แต่สำนักงานอัยการสูงสุดไม่หนักใจในการทำงาน เพราะผู้ปฏิบัติทุกคน ถูกฝึกฝนและสร้างมาให้ไม่หวั่นไหวในการทำคดี ต้องมองว่าทุกคดีก็เหมือนคดีอาญาทั่วไป ที่จะต้องค้นหาความจริง ทำความจริงให้ปรากฏและนำสืบให้ชัดเจนตามที่ได้รับผิดชอบตามแต่ละสำนวนคดี.