เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 12 ก.ย. ที่ รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมี สส. สว. รวมถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งประธานรัฐสภา ได้แจ้งกรอบเวลาในการประชุมตลอด 2 วัน คือวันที่ 12-13 ก.ย.นี้ รอบเวลาทั้งหมด 29 ชั่วโมง แบ่งเป็นประธาน 1 ชม. นายกรัฐมนตรี และ ครม. 6 ชม. สว. 4.5 ชม. สส.พรรคร่วมรัฐบาล 4.5 ชม. สส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน 13 ชั่วโมง
จากนั้น น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลว่า รัฐบาลตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งปัญหาหนี้สิน รายได้ ค่าครองชีพ รวมถึงความมั่นคงและปลอดภัยในสังคมคือ ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ นำความหวังคนไทยกลับมาเร็วที่สุด โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะที่นโยบายพัฒนาประเทศระยะกลางและระยะยาว จะต่อยอดการพัฒนาภาคผลิตและบริการ สร้างความสามารถการแข่งขัน โดยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปูพื้นฐานให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่งทั้งการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม เช่น ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาป ไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต การยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ทั้งอาหารท้องถิ่น ผ้าไทย มวยไทย ศิลปะการแสดง ดนตรีไทย สุราชุมชน ยกระดับสินค้าโอทอป ให้ตอบสนองต่อความต้องการผู้บริโภคทั่วโลก ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมในอนาคต อาทิ ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว การต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ การทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินของโลก
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ ทั้งทางราง ทางน้ำ ทางถนน และทางอากาศอย่างไร้รอยต่อ สร้างรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ยกระดับท่าเรือเพื่อเพิ่มศักยภาพเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า พัฒนาสนามบินและเส้นทางบินใหม่ๆ เช่น สนามบินล้านนา สนามบินอันดามัน มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการ ให้ประเทศเป็นศูนย์กลางคมนาคมและขนส่งภูมิภาค นอกจากนี้จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ ศึกษาความเป็นไปได้การปฏิรูประบบภาษีไปสู่แบบ Negative Income Tax ที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเงินภาษีคืนเป็นขั้นบันได การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินรัฐ แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน ยุติความขัดแย้งและแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน ระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะยกระดับสาธารณสุขให้ดีกว่าเดิม ต่อยอดโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็น 30 บาทรักษาทุกที่ การส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ความเท่าเทียมกันของชายและหญิงในครอบครัวและที่ทำงาน ให้ผู้หญิงไม่ต้องเผชิญการเลือกปฏิบัติ รัฐบาลจะสร้างการมีส่วนร่วมในการรับมือภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาฝุ่น pm2.5 การยกระดับบริหารจัดการน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ ฟื้นฟู การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลจะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของคนไทยและต่างชาติด้วยการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ มีนิติธรรม ความโปร่งใสดังนี้ 1.เร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็ว 2.สร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินยึดมั่นหลักนิติธรรมและความโปร่งใส 3.ปฏิรูประบบราชการและกองทัพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อาทิ การปรับขนาดภาครัฐให้สอดคล้องกับภารกิจ การปรับเปลี่ยนการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ 4.ยกระดับการบริการภาครัฐให้สนองตอบความต้องการของประชาชน ขณะเดียวกันจะเสริมสร้างโอกาสให้ประเทศไทย และเกื้อกูลผลประโยชน์ประชาชน จะรักษาจุดยืนการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ เดินหน้าสานต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุก
“ท้ายที่สุดรัฐบาลมีความมุ่งมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไกสร้างคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ขอให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลจะมุ่งมั่นตั้งใจบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี นำพาความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย สร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต” น.ส.แพทองธาร กล่าว
ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ใช้เวลาอ่านคำแถลงนโยบาย รวม 58 นาที.