เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วน ครม. แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ในการแก้ปัญหายาเสพติดยังไม่เห็นความชัดเจน ทั้งในแง่การจัดสรรงบประมาณและปฏิบัติอย่างครบวงจร ตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว จนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ไม่มีความชัดเจนในแง่นโยบาย ทั้งนี้รัฐบาลก่อนบอกว่าจะแก้ปัญหายากเสพติดภายใน 90 วัน แต่ผ่านมา 84 วัน พบว่าสาละวนแก้กฎกระทรวง สั่งการฝ่ายกฎหมายและสั่งการฝ่ายปกครอง เร่งรัดจ่ายค่าตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ
นายวิโรจน์ อภิปรายด้วยว่า หากรัฐบาลไม่คลาย 3 ปม จะแก้ไม่ได้ แต่ทำให้ปัญหาฝังรากลึกต่อสังคมที่ยากแก้ไข คือ 1.ต้องจับตัวการใหญ่ และยึดทรัพย์ ส่วนการจับตัวเล็ก ต้องเป็นไปเพื่อขยายผลต่อตัวการใหญ่ ขณะที่ตัวการใหญ่อาจจะจับผู้ครอบครองเพื่อเสพมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาพบว่ามีคดีเสพและไว้ในครอบครอง 1.3 แสนคดี และเชื่อว่าปี 2567 จับผู้ต้องหารายเล็กรายน้อยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งในกรณีดังกล่าว ทำให้มีผู้ต้องขังคดียาเสพติดเพิ่มมากขึ้น แต่จำนวนนักโทษเด็ดขาดที่เป็นผู้ค้ายามีจำนวนลดลง
“การจับดังกล่าว ไม่ทำให้การแพร่ระบาดยาเสพติดลดลง เมื่อผู้เสพหรือครอบครองไว้เพื่อเสพถูกจับ มีประวัติอาชญากรรม ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการหาสมัครงาน การจับผู้เสพขังคุกเป็นการส่งเสริมการค้าแบบเครือข่าย และเรือนจำกลายเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซ และจะทำให้เด็กเดินยากลายเป็นอายุน้อยร้อยเม็ดทันที” นายวิโรจน์ อภิปราย
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ในการจับดำเนินคดีผู้เสพ หรือครอบครองไว้เพื่อเสพ คิดเป็นมูลค่าเสียหายทางเศรษฐกิจ สูงถึง 9 หมื่น-1 แสนล้านบาท มาตรการที่รัฐบาลควรมุ่งเน้น ไม่ใช่จับกุมเพื่อทำรอบคดี แต่ต้องมุ่งสนับสนุนงบประมาณทำงานร่วมกับชุมชน ภาคีเครือข่ายพาผู้เสพฟื้นฟูแบบสมัครใจ
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า 2.เร่งการดำเนินการฟื้นฟูผู้เสพแบบสมัครใจ รวมถึงสนับสนุนด้านงบประมาณให้ชุมชนมีส่วนร่วมติดตามบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาในชุมชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้งบประมาณของสถานฟื้นฟูระยะยาวต่อเนื่อง นอกจากนั้น ควรให้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อใช้กับผู้บำบัดยาเสพติดด้วย และ 3.เร่งรัดการจับยึดทรัพย์ผู้ค้ารายใหญ่.