เมื่อเวลา 17.43 น. วันที่ 12 ก.ย. 67 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าไม่มีใครแก้ไขค่าราคาพลังงานลดลงได้ เพราะราคาพลังงานของบ้านเรา นำเข้า 90 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมัน และนำเข้ากว่า ร้อยละ 65 ของก๊าซธรรมชาติ ใครจะแก้ให้ลดลงได้ จะแก้ได้อย่างเดียวคือไม่เก็บภาษีเลย แต่โครงสร้างบ้านเราทำไม่ได้ เพราะเราติดลบอยู่ ถ้าไม่เก็บภาษีเลยจะหายเกือบไป 3 แสนล้าน ก่อนนี้ติดลบอยู่ 8 แสนล้านแล้ว เท่ากับว่าจะหาย 1.1 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม 3 แสนล้าน เท่ากับ 1.5 ของจีดีพี แค่ 2 ปีเท่านั้น หรือไม่ก็ปีหน้าจะได้เห็นตัวเลขหนี้สาธารณะขึ้นเกิน ร้อยละ 70 ฉะนั้นจึงทำไม่ได้
รมว.คลัง กล่าวด้วยว่าหากจะทำให้ราคาถูก มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องเป็นเจ้าของพลังงานนั้น หากไปซื้อมานั่นคือราคาตลาดโลก ยังไงก็ลดไม่ได้ ขึ้นคือขึ้น ของที่ยังเหลือในประเทศไทยในฝั่งอันดามัน ซึ่งเผอิญอยู่ใกล้เมียนมา เราไม่สามารถทำอะไรได้มากในตอนนี้ ส่วนสิ่งที่อยู่ในฝั่งอ่าวไทยยังไม่สามารถเอาขึ้นมาได้ เพราะยังมีปัญหาว่าเป็นดินแดนของใคร เถียงกันเรื่องดินแดนอีก 50 ปีก็ไม่จบ แต่สิ่งที่ต้องจบคือทรัพยากรที่อยู่ข้างล่างจะเอาขึ้นมาใช้อย่างไร เพราะถ้าอีก 30 ปีเขาเลิกใช้น้ำมันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ที่น่าคิด ของที่อยู่ในอ่าวไทย จากประสบการณ์ตนคาดว่าจะสามารถผลิตได้ในราคาเพียง 20 เหรียญบวกลบ ต่อ 1 บาร์เรล เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่เรานำเข้าตอนนี้ คือ 85-90 เหรียญ ส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้า 75 เหรียญ
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เรามีแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันทางรัฐเพื่อสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจเท่าเทียมกัน สิ่งเหล่านี้แม้ไม่ง่ายแต่เมื่อมีหนี้ทุกคนหายใจไม่สะดวก เราจึงต้องเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ พร้อมกับต้องคำนึงถึงความพร้อมของระบบ และคำนึงถึงเงินในกระเป๋า รัฐบาลคิดแล้วว่าจะทำให้เร็วที่สุด โดยรอบแรกจะเป็นเงิน 10,000 บาท จำนวน 14.2 ล้านคน วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งเราน่าจะสามารถกดปุ่มเคาะระฆังให้เงินก้อนแรกไหลได้วันที่ 25 ก.ย.นี้.