เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงนโยบายรัฐบาลว่า รัฐบาลใหม่ถือว่าโชคดี เพราะในปัจจุบันโลกเผชิญกับสงครามการค้า ซึ่งไม่ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ใครจะเป็นผู้ชนะ สงครามการค้าเกิดขึ้นแน่นอน แต่กลับเป็นโอกาสของประเทศไทย เพราะทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน ก็มองไทยเป็นเพื่อน และขณะนี้การลงทุนเริ่มไหลเข้ามาในไทย ซึ่งปีที่ผ่านมามีการลงทุนในกิจการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) 1.5 แสนล้านบาท และเชื่อว่าภายในไม่อีกกี่ปี จะมีการลงทุนใน PCB หลายแสนล้าน ถึงล้านล้านบาท และส่งผลต่อให้แผงวงจรไฟฟ้าต่างๆ จะเข้ามาผลิตที่ไทย ซึ่งสิ่งสำคัญที่นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะเรามีพลังงานที่เยอพเพียงพอและมีความเสถียร ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำ และเชื่อว่า อีกไม่นานเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ ให้สามารถมาใช้ประเทศไทยได้
นายพิชัย กล่าวต่อว่า เราอยากเห็นประเทศจีนรักเรา อยากเห็นประเทศอเมริการักเรา เราเป็นตัวกลางก็จะสามารถพัฒนาประเทศ ได้ การลงทุน การค้าต่างๆ ก็มาไหลเข้ามาเรา การที่ไทยเป็นที่รักของทุกคน จะทำให้ไทยได้ประโยชน์พัฒนาประเทศตอนนี้ ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้มีการโจมตีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากเกินไป ซึ่งตนก็สนิทกับทางสถานทูตจีน ก็บอกว่า อย่าทำให้จีนเป็นผู้ร้ายเลย เนื่องจากการเป็นประเทศมหาอำนาจ อยากให้ความรู้สึกคนไทยดีกับจีน จึงต้องมาคิดว่า จะมีวิธีอย่างไร ถ้าวันดีคืนดีจีนบอกไม่ซื้อทุเรียน อะไรเกิดขึ้น เราหายเป็นแสนล้าน หรือถ้าบอกว่า เขาไม่ส่งนักท่องเที่ยวมาไทย ห้ามเที่ยว เราเสียหายเป็นหลายๆ แสนล้าน อยากฝากไว้ว่า มันเป็นเรื่องที่อ่อนไหว
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีการเรียก 28 หน่วยงาน มาหารือกันเพื่อหาทางออก ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ทางที่ดีที่สุด ทำอย่างไรให้สินค้านำเข้า ต้องได้มาตรฐานสากลและปลอดภัยกับประชาชน โดยเป็นการกำหนดเป็นมาตรฐานที่ใช้กับทุกประเทศ ไม่ได้ใช้กับประเทศใดประเทศหนึ่ง รวมถึงจะมีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจที่จะตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้มาตรฐานหรือไม่ และดูแลป้องกันการทุ่มตลาด
“สิ่งที่เราทำ ควรมีมาตรฐานและเจรจากับเขาดีๆ และผมได้นัดคุยกับจีนหลายครั้งแล้ว คงมีการเจรจาหาทางร่วมมือกัน คงเป็นลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากกว่าระหว่างไทยกับจีน รักษาน้ำใจกัน และดูว่า ปริมาณอะไรที่มากเกินไปก็ขอให้ลดลง เพื่อที่จะรักษาอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของประเทศเรา” นายพิชัย กล่าวและว่า นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าการขยายการเจรจาเขตการค้าเสรี และเจรจากับอินเดีย เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย
นายพิชัย กล่าวถึงสินค้าเกษตรว่า กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการเชิงรุก โดยจะมีการคำนวณ และคาดคะเนล่วงหน้าในแต่ละเดือน มีผลผลิตสินค้าใดออกมาบ้าง และมีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นตามที่ต้องการ ส่งผลให้สินค้าหลัก ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพาราราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ราคาสูงสุดในรอบ 5 ปี ข้าวเจ้า ราคาสูงสุดในรอบ 20 ปี เป็นต้น และราคาสินค้ารอง ไม่ว่าจะเป็นสับปะรด กระเทียม หอมแดง ผลไม้ต่างๆ ก็มีราคาสูงขึ้นกว่าทุกปี.