เมื่อวันที่ 27 ก.ย. พ.ต.อ.เฉลิมชัย เพชรกาศ ผกก.สภ.สายบุรี ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดบริเวณสะพานลาคอ ม.3 ต.ตะบิ้ง จ.ปัตตานี มีผู้บาดเจ็บหลายราย หลังได้รับแจ้งจึงรีบนำกำลังไปที่เกิดเหตุพร้อมประสานชุดเก็บวัตถุระเบิด
พบรถบัสกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 41 ทะเบียน 13482 เสียหลัก ตกลงในคูกลางถนน และพบเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย จึงรีบลำเลียงส่งโรงพยาบาลยะหริ่ง ทราบชื่อ จ.ส.ต.ขจรพล เพชรกูล อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นพลขับถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ลำตัว หลายแห่งอาการสาหัส แพทย์ต้องเร่งทำการรักษา ก่อนจะส่งตัวไปรักษาต่อ ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ พร้อม ส.ต.ท.ศุภวิชญ์ ป้องแก้ว อายุ 29 ปี และ จ.ส.ต. ดำเนินยุทธ สง่าปู อายุ 26 ปี ส่วน ส.ต.ท.นพคุณ นำศิลป์ธนสาร อายุ 27 ปี ถูกส่งต่อโรงพยาบาลปัตตานี
จากการตรวจสอบรถบัสคันดังกล่าวพบว่าบริเวณด้านขวาถูกแรงระเบิดและสะเก็ดระเบิดจนกระจกแตกทั้งหมด ล้อหน้าขวาแตก สะเก็ดระเบิดยังเจาะเข้าตัวรถหลายแห่งซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บดังกล่าว
สอบสวนในที่เกิดเหตุพบว่าจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณกลางสะพาน ห่างจากรถบัสประมาณ 200 เมตร ซึ่งพบว่าคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องซุกอยู่ในตู้ เครื่องวัดระดับน้ำซึ่งติดอยู่กับเสาไฟกลางถนนแรงระเบิดทำให้ตู้ดังกล่าวพังเสียหาย ทำให้พบชิ้นส่วนระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สำหรับรถบัสกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 41 เดินทางมาจาก จ.นราธิวาส เพื่อไปรับกำลังพลที่ปฎิบัติหน้าที่ จากนั้นจึงเดินทางกลับที่ตั้งในพื้นที่ อ.เมือง จ.ชุมพร แต่ระหว่างทางมาถึงที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนได้นำระเบิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 15 กก. จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ซุกไว้ที่ตู้เครื่องวัดระดับน้ำซึ่งอยู่บริเวณกลางสะพาน เมื่อรถบัสมาถึงคนร้ายจึงได้กดชนวนระเบิดจะเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สะเก็ดระเบิดกระเด็นถูกรถและเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในรถจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ส่วนรถเสียหลักไถลตกคูน้ำเกาะกลางถนน
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภาค 9 ได้สั่งการหน่วยกำลังในพื้นที่ที่กำลังปิดล้อมตรวจค้นบริเวณที่เกิดเหตุในรัศมี 500 เมตร พร้อมทำการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายอย่างเร่งด่วนเนื่องจากเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นบุคคลในพื้นพื้นที่เนื่องจากรู้เส้นทางหลบหนี และจากการตรวจสอบในเบื้องต้นเชื่อว่าคนร้ายน่าจะนำระเบิดมาตั้งไว้ในช่วงเวลาไล่เลี่ยก่อนที่จะเกิดเหตุ กว่านี้ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวนในพื้นที่เข้าติดตามหาข่าว รวมไปถึงตรวจสอบภาพวงจรปิดตามไหล่ทาง และรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุให้ได้มากที่สุด เพื่อเร่งดำเนินการขยายผลจับคนร้าย ซึ่งกลุ่มขอความไม่สงบยังคงมีความพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ในพื้นที่.