จากกรณีอาการป่วยของ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 71 ปี อดีต 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และอดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลังพบเส้นเลือดกลางสมองโป่งพอง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดนายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยอาการป่วยของ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Pibhop Dhongchai” ว่า

“เมื่อสมเกียรติมาถึงมือหมอ เมื่อตัดสินใจออกจาก รพ.กรุงเทพ โคราช เดินทางมา รพ.กรุงเทพ ในมหานคร ระยะทางยาวกว่า 200 กิโลเมตร มีลูกสาวคนเล็กนั่งเฝ้าอาการพ่อในรถมาด้วย ส่วนหน่อยและคนอื่นนั่งรถคุณปรีดา

เมื่อมาถึงหมอตรวจอาการเสร็จ ก็บอกเล่ากับญาติให้กลับไปตัดสินใจทางเลือกเดิมที่หน่อยกังวล คือการผ่าตัดสมอง ด้วยว่าการสอดเส้นลวดนั้นสำเร็จแล้วต้องกินยาไปตลอดปี และต้องกลับมาตรวจซ้ำอีก ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายไม่น้อยจะตามมา ถึงแม้ค่าใช้จ่ายในคราวนี้ คุณสมศักดิ์ มิตรสหาย ผู้เป็นกัลยาณมิตร จะยินดีจ่ายให้ทั้งหมด

หมอบอกว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะผ่าตัดสมอง ด้วยการแตกของเส้นเลือดนั้นไม่ได้อยู่ที่แกนก้านสมอง (brain stem) ซึ่งไม่เป็นการยากลำบากที่จะรักษา ตรงกับความเห็นของหมอชูชัยที่ว่า “ไม่เข้าไปในก้านสมอง brain stem นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ถ้าไปแตกในก้านสมอง จะลำบากมากครับ”

เลือดจากการแตกของเส้นเลือดกระจายตัวอยู่ส่วนหน้า ด้วยความว้าวุ่นใจมาหลายวันของหน่อยที่จะตัดสินใจทางเลือกในการรักษาสามี ตั้งแต่อยู่ที่ รพ.มหาราช จนย้ายมา รพ.กรุงเทพโคราช และมาจบที่ รพ.กรุงเทพในเมืองหลวง

หน่อยกับลูกและญาติก็ยอมให้หมอผ่าตัดสมอง ที่หมอรับรองว่าปลอดภัย และดีกว่าการสอดเส้นลวด ความกังวลของหน่อยอีกเรื่องหนึ่งคือค่าใช้จ่ายที่รู้ว่ามหาศาล เกินความสามารถทางการเงินของตัวเอง ที่เป็นเพียงข้าราชการบำนาญ จนคุณปรีดารับรองว่าคุณสมศักดิ์ผู้เป็นกัลยาณมิตรของสมเกียรติจะดูแลให้ทั้งหมด โดยบอกผ่านประสารว่า “ถึงแม้จะมีโอกาสรอดเพียง 10% ก็ต้องทำ” คุณสมศักดิ์จึงขอให้ย้ายโรงพยาบาลให้หมอที่เชี่ยวชาญวินิจฉัยซ้ำอีกที

การวินิจฉัยก็มาจบที่ผ่าตัดสมอง ซึ่งทำสำเร็จเมื่อวานนี้ แต่ต้องอยู่ใน ICU ต่อ 3 วัน และออกมาสังเกตอาการอีกราว 7 วัน เมื่อจบตรงนี้ หน่อยก็อยากพาสามีกลับบ้านเพื่อจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด และลดค่าใช้จ่าย ด้วยหน่อยนั้นเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่ชอบออกปากขอใคร กินแต่เงินบำนาญ ในขณะที่สามีก็ต้องคดีแพ่ง ถูกตามเก็บทรัพย์จากคดีห้าร้อยกว่าล้านบาท ร่วมกับแกนนำอีก 5 คน และยังมีคดีใหญ่รออยู่ข้างหน้าอีกหนึ่งคดี แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ทำให้สองสามีภรรยาท้อแท้ใจแต่อย่างใด

หน่อยนั้น หลังจากสามีออกจากคุกก็ทำไร่ทำสวนกันสองคนตายาย ตามนิสัยที่ถูกสร้างมาในวัยเด็กที่เป็นลูกชาวนา ส่วนลูกสาวสองคนก็ออกเรือนไปสร้างฐานะใหม่กันทั้งคู่ การอยู่คนเดียวในวันข้างหน้าก็เป็นความกังวลกับหน่อยอยู่ไม่น้อย”

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Pibhop Dhongchai