นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ผลประกอบการช่วง 9 เดือนของปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 16,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 24,291 ล้านบาท แม้ว่าลดลงร้อยละ 31.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเป็นการตั้งสำรองในระดับสูง ส่งผลให้ Coverage ratio เท่ากับร้อยละ 163.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 147.3 ณ สิ้นปี 2563  และ NPLs Ratio-Gross อยู่ที่ร้อยละ 3.57 ลดลงจากร้อยละ 3.81 ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี ผลจากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ เท่ากับ 47,841 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลงร้อยละ 8.3 ตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง แม้ว่าสินเชื่อจะขยายตัวได้ดีถึงร้อยละ 9.6 จากสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง รวมถึงการลดลงของดอกเบี้ยเงินลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลให้ NIM เท่ากับร้อยละ 2.52 ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 3.8 จากการบริหารจัดการในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 44.28 ใกล้เคียงกับร้อยละ 44.45 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 5,055 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15.9 จากไตรมาสที่ผ่านมา จากกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ที่ลดลงร้อยละ 8.3 ตามรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลงร้อยละ 1.8 แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะขยายตัวร้อยละ 1.1 จากสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดีและการบริหารต้นทุนทางการเงิน โดย NIM อยู่ที่ร้อยละ 2.51 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 2.55 ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย

เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลงร้อยละ 34.5 มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ ลดลงร้อยละ 8.0 มาจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลงร้อยละ 6.4 เป็นผลจากในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง ประกอบกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากดอกเบี้ยรับเงินลงทุนในตราสารหนี้ และรายได้จากการดำเนินงานอื่นที่ลดลง ทั้งนี้ ธนาคารบริหารต้นทุนทางการเงินประกอบกับสินเชื่อขยายตัวได้ดี ซึ่งช่วยลดผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการบริหารค่าใช้จ่ายในการภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง ร้อยละ 4.4  ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 46.21 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 47.16 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)