เมื่อวันที่ 20 ต.ค. นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รฟท. ว่า สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้แล้ว คือ นายซาแระห์ ตาเหร์ อายุ 34 ปี ซึ่งลักลอบเข้าไปตัดสายเคเบิลโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนขยายผลการจับกุม เพื่อเอาผิดถึงที่สุด เพราะถือเป็นพฤติกรรมอุกอาจในการทำลายทรัพย์สินของราชการ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนรวมอย่างมาก

นายเอกรัช กล่าวต่อว่า นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่า รฟท. ได้สั่งการให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุด ทั้งทางแพ่งและอาญา พร้อมกับให้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายความผิดคดีทางแพ่งเกี่ยวเนื่องในคดีอาญา โดยอยู่ระหว่างรวบรวมค่าเสียหายส่งพนักงานสอบสวน นอกจากนี้จะดำเนินคดีข้อหาบุกรุกพื้นที่ รฟท. และก่อกวนให้เป็นอุปสรรคการเดินรถ รวมถึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทางราชการด้วย

ทั้งนี้ปัจจุบันมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการลักลอบทำลายทรัพย์สินของ รฟท. ได้แก่ พ.ร.บ.จัดวางทางรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 84 ระบุผู้ใดที่เข้าไปในที่ดินรถไฟนอกเขตที่อนุญาตให้ประชาชนเข้าออก ต้องระวางโทษชั้น 1 และมาตรา 87ระบุไว้ว่า ผู้ใดทำให้รถ สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักรหรือสิ่งใดๆ อันเป็นทรัพย์สินของรถไฟเสียหายหรือชำรุด ต้องระวางโทษชั้น 1 นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ระบุว่า ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือบางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์เขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายเอกรัช กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 231 ระบุว่าผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ให้ประภาคาร ทุ่น สัญญาณ หรือสิ่งอื่นใดซึ่งจัดไว้เป็นสัญญาณเพื่อความปลอดภัยในการจราจรทางบก การเดินเรือ หรือการเดินอากาศ อยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจรทางบกการเดินเรือ หรือการเดินอากาศ ระวางโทษจำคุก 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับ 10,000-140,000 บาท และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุก 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับ 20,000-100,000 บาท

นายเอกรัช กล่าวต่อว่า การจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดย รฟท. ได้เข้าไปติดตั้งกล้องวงจรปิดในการดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย และใช้เป็นหลักฐานในการติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ตลอดจนยังใช้วิธีมวลชนสัมพันธ์ ขอความร่วมมือชุมชนโดยรอบทางรถไฟ ให้ช่วยเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งในกรณีนี้ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในชุมชนไทรคู่ ตั้งอยู่ใกล้เคียงชุมชนรถไฟ กม.11 ในการช่วยจับกุมผู้กระทำผิดมาได้

นายเอกรัช กล่าวอีกว่า ผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดงมั่นใจได้ในความปลอดภัย ซึ่งการตัดชุดสายเคเบิลดังกล่าว เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกับระบบจ่ายไฟฟ้า สำหรับป้องกันอันตรายการบำรุงรักษาของพนักงานที่ลงไปทำงานในเส้นทางรถไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อการเดินรถ หรือกระทบต่อความปลอดภัยในการให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในขบวนแต่อย่างใด ที่สำคัญ รฟท. ยังมีการใช้ช่างบำรุงรักษาของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลบำรุงรักษา ระบบงานกว่า 10 ปีเข้ามาช่วยดูแล เพราะเป็นระบบจ่ายไฟเหนือหัวรูปแบบเดียวกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์

นายเอกรัช กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ รฟท. ยังคงความเข้มข้นในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดยผู้บังคับการตำรวจรถไฟ และฝ่ายสืบสวน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งชุดสืบสวนเพื่อติดตามคนร้ายและทรัพย์สินของการรถไฟฯ เป็นการเฉพาะ โดยมี บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และบริษัทรักษาความปลอดภัย จัดชุดเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวน และสุ่มตรวจในพื้นที่เสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำจัดวัชพืชตลอดแนวรั้วให้โล่ง เพื่อให้สอดส่องดูแลความปลอดภัยอย่างทั่วถึงและป้องกันไม่ให้ใช้เป็นพื้นที่ก่อเหตุ ตลอดจนมีการเสริมแนวรั้วป้องกันเพิ่มเติมในจุดเสี่ยง และติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมเพื่อเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัย.