เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม นายศุภณัฐ เฉลิมชัยเจริญกิจ หรือ อ๊อฟ นักร้องนักแสดงชื่อดัง พร้อมมารดา เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. หลังตกเป็นผู้เสียหายลงทุนขายผลิตภัณฑ์ในเครือดิไอคอน
อ๊อฟ ศุภณัฐ กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ตนได้รวบรวมหลักฐานการรูดบัตรเครดิตจ่ายเงินให้กับดิไอคอน กรุ๊ป ทั้งของตนเองและของคุณแม่และนำมาแจ้งความในวันนี้ เพื่อต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ว่าตนและคุณแม่ก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่ไปร่วมลงทุน ไม่ได้เป็นแม่ข่ายตามที่ถูกกล่าวหา
อ๊อฟ ศุภณัฐ เล่าว่า เมื่อช่วงโควิด-19 คุณแม่ได้รับแอดของบริษัทนี้ ซึ่งช่วงนั้นคุณแม่ของตนก็เป็นผู้สูงอายุที่ว่างงานและต้องการจะหาเงินมาช่วยเหลือตนที่ไม่มีงาน ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณแม่เข้าไปทำคืออะไร ตอนที่คุณแม่เข้าไปช่วงแรกเป็นช่วงโควิด การตลาดก็จะเป็นอีกแบบ มีแต่การประชุมทางออนไลน์ แต่หลังจากนั้นการตลาดก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบ เริ่มถูกชักชวนให้ออกไปประชุม และมารดากลับดึกดื่น สภาพโทรมลงทุกวัน และมีงานใหญ่ก็ต้องไปนั่งฟังความสำเร็จ ซึ่งตนไม่เคยทราบมาก่อน เพิ่งมารู้ตอนเป็นข่าว
ตอนนั้นคุณแม่ตนอยากเป็นนักเรียนดีเด่นเป็นนักธุรกิจที่โตเร็วซึ่งก็ได้รับการชักชวนจากแม่ทีมว่า ถ้าอยากโตต้องลงทุนเยอะ คุณแม่เลยเปิดบิลระดับดีลเลอร์ 2.5 แสนบาท ซึ่งตอนนั้นก็มาชักชวนให้ตนทำด้วย แต่ตนไม่รู้และไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ถ้าจะทำเองต้องศึกษาให้ดีก่อน จึงไม่ทำ แต่ว่าก็เห็นใจคุณแม่ที่หาลูกทีม จึงไปเป็นลูกทีมของคุณแม่ ช่วยเปิดบิลไปอีก 2.5 แสนบาท และคุณแม่ยังได้ไปชวนญาติพี่น้องอีกประมาณ 8-10 คนมาเปิดบิล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
อ๊อฟ ศุภณัฐ ยืนยันว่า ตนเองบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปชวนใครต่อ ไม่มีสายเป็นของตัวเอง ไม่มีลูกข่ายแน่นอน ส่วนคุณแม่อยู่ในวังวนนั้นประมาณ 1 ปี พอรู้ว่าของขายไม่ได้จึงเลิกทำไป ซึ่งเท่าที่มาไล่ยอดเงินดูเมื่อคืนนี้ พบว่าส่วนของคุณแม่ได้จ่ายเงินไปทั้งหมดประมาณ 7 แสนบาท ส่วนของตนประมาณ 3 แสนบาท โดยจำนวนเงินที่จ่ายไป นอกเหนือจากการเปิดบิลระดับดีลเลอร์ 2 คนรวมกัน 5 แสนบาทแรกนั้น ก็จะเป็นการที่บริษัทออกโปรโมชั่นสินค้าใหม่ๆ และมาชักชวน บอกให้คนขายซื้อทดลองใช้ จึงมีการจ่ายเงินเพิ่มไปเรื่อยๆ
“อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ได้มาก็เอามาใช้จริง อย่างกาแฟ ตนและคุณแม่ก็เอามานั่งดื่มกันทุกวัน ซึ่งยอมรับว่าสินค้านั้นดีจริง แต่ข้อเสียคือการทำการตลาดที่ฮาร์ดคอร์มากเกินไป ทำให้ทุกบ้านมีสินค้า มีคนขาย แล้วใครล่ะจะซื้อ ราคาขายปลีกก็สูงกว่ากันมาก สุดท้ายแล้วสินค้าจึงถูกนำมากองรวมกันไม่สามารถขายได้ ต้องนำมากินเอง หรือนำไปแจกคนข้างบ้าน” อ๊อฟ ศุภณัฐ กล่าว
อ๊อฟ ศุภณัฐ กล่าวต่อว่า พอเรื่องบริษัท ดิไอคอน เป็นข่าว ตนเพิ่งมาทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันจริงอย่างที่ทุกคนบอกว่าธุรกิจนี้ไม่ได้เน้นการขาย แต่เน้นการสอนคนให้ชวนคนมาลงทุนซื้อสินค้าจำนวนมาก ส่วนข้อมูลที่ว่าตนเป็นแม่ข่ายนั้น ตนก็เพิ่งเห็นเมื่อวานเพราะมีเพื่อนทักมาแซวว่า เป็นบอสอ๊อฟ และบอสจอย ในข่าวพอไปดูก็พบว่ามีบอสชื่ออ๊อฟและจอยอยู่ แต่ไม่ใช่ตนและคุณแม่ แค่บังเอิญชื่อเหมือนกัน
ส่วนรูปโฆษณาสินค้าที่มีการใช้รูปตนและเขียนว่าเป็น Founder นั้น ตนไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำและตนไม่เคยอนุญาตให้นำรูปดังกล่าวไปใช้ โดยรูปนี้เป็นรูปที่ตนถ่ายไว้ตอนไปถ่ายรายการ และถูกนำไปใช้ในหลายๆ กรณี ทั้งงานบุญ งานบวชต่างๆ รวมถึงรูปนี้ด้วย ซึ่งตนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Founder ของธุรกิจนี้หมายความว่าอะไร ถ้าตนเป็นผู้ก่อตั้งจริง คงรวยเป็นพันล้านไปแล้ว ซึ่งจะพิจารณาว่าถ้าหากการกระทำนี้จะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตก็จะแจ้งความดำเนินคดีด้วย