สถานการณ์การเมืองช่วงนี้ เดาทางกันว่า รัฐบาลเรือเหล็ก ไม่สามารถที่จะลากกันไปได้ถึงฝั่งฝัน จากกระแสเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ ขณะที่มีการเรียกร้องอยู่นี้ กกต.ได้ประกาศให้มีการจัดการเลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ไปทั่วประเทศ และเชื่อกันว่าอีกไม่นานจะมีการเลือกตั้งระดับชาติ

ดังนั้น คณะก้าวหน้า ต้องถือโอกาสนี้ ลุยเดินสายปลุกกระแสการเมืองท้องถิ่น รับการเลือกตั้ง ควบคู่กับการลงพื้นที่ของ พรรคก้าวไกล ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา โดยเฉพาะภาคอีสานที่คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครลงชิงสนาม อบต.มากที่สุด ท่ามกลางคดีความต่าง ๆ ทั้งคดีความมาตรา 112 หรือกรณีเลียนแบบพรรคการเมืองที่มีผู้ร้องเรียนต่อ กกต. ที่อาจไปสู่วิบากกรรมอีกครั้ง “ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงต้องมาสนทนากับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า  ในก้าวต่อไป จะเดินกันไปอย่างไรบนเส้นทางถนนสายเมืองที่เต็มไปด้วยขวากหนามนี้  

โดย “ธนาธร” เปิดฉากกล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้ เป็นเรื่องน่าลำบาก เพราะประชาชนไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาล อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นราคาพืชผลการเกษตร เรื่องเศรษฐกิจมหภาค เรื่องการจัดการโควิด ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะมีการยุบสภาในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่น่าจะประคองให้ถึง 4 ปีได้ อักทั้งเชื่อว่าเป็นเรื่องของชนชั้น แน่นอนที่สุดในหมู่อภิสิทธิ์ชน ในหมู่ชนชั้นนำอนุรักษนิยมอาจจะมีการแตกกันเป็นกลุ่มก้อน แต่ถ้าประยุทธ์ยุบสภาจะสั่นสะเทือนทั้งชนชั้น ไม่มีสิ่งที่ชนชั้นนี้จะได้รับประโยชน์จากการยุบสภา ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าการแตกกันเล็ก ๆ ภายในกลุ่มก้อนตรงนี้จะนำไปสู่ความสูญเสียทางผลประโยชน์เชิงอำนาจของทั้งชนชั้นได้ เพราะถ้าเข้าสู่การเลือกตั้งคุณวัดเกมกันใหม่เลย  

สำหรับการเมืองประเด็นที่สำคัญ คือ รัฐบาลจะจัดการอย่างไรให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย เพราะว่าสิ่งที่เราเห็น เราอยู่ในยุคมืดของการใช้กฎหมายปิดปากกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นต่างกับรัฐบาล วันนี้เรากำลังพูดถึงคดีทางการเมือง 800 คดี ในจำนวนนี้มีคนถูกฟ้อง 1,500 คน ๆ ก็คือคนรุ่นใหม่ ไม่มียุคไหนในประวัติศาสตร์ที่มีคดีการเมืองเยอะเท่านี้มาก่อน เฉพาะคดีมาตรา 112 อย่างเดียว ประมาณ 150 คดี ซึ่งไม่มียุคไหนมีการใช้มาตรา 112 มากเท่านี้อีกแล้ว แสดงให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลไม่รู้จะจัดการกับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างไร เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์  

ดังนั้นการเมืองระยะสั้นจะยุบสภาหรือไม่ยุบก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความสำคัญกว่า ถ้าเรามองให้ลึกลงไปมากกว่าพื้นผิว เป็นคลื่นของเจเนอเรชั่นที่ปะทะกันอย่างรุนแรง เป็นคลื่นกระแสธารของความคิดที่คุณหยุดมันไม่ได้ ถึงจะจับแกนนำไปก็ไม่จบ รัฐบาลจะผูกขาดการรับรู้ของสังคมไม่ได้อีกต่อไป และจะผูกขาดการเขียนประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงจบไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ แต่คุณจะใช้กรอบความคิดในการจัดการปัญหาเรื่องนี้เหมือนเดิม คือการจับเข้าคุก ยัดข้อหา ข่มขู่คุกคาม โดยคิดว่าจัดการแกนนำเป็นสิบเป็นร้อยคนแล้วจะทำให้ประเทศไทยกลับเป็นเหมือนเดิมได้ ไม่มีทาง  

@ในส่วนคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนายธนาธร โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 วิตกว่าสุดท้ายอาจจะถึงขั้นถูกจำคุกหรือไม่   

อย่างที่บอกว่า เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของเรา ว่าเรามาทำงานการเมืองตรงนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้มาเพื่อจะเอาภาษีประชาชนมาสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองหรือครอบครัว ไม่ได้คิดร้ายกับประเทศ ในทางกลับกันเรามองเห็นปัญหาแล้วเราเห็นว่าจำเป็นจะต้องมีคนกล้าหาญที่ออกมาพูดถึงต้นตอของปัญหาอย่างจริงจัง ลองนึกดูแล้วกันตั้งแต่เติบโตขึ้นมาจนทำธุรกิจ จนอายุ 39-40 ปี ไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาลสักครั้งหนึ่ง ลองไปเช็กชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจก็ได้ว่า นายธนาธรคนนี้ เคยโกงใครหรือเปล่า อยู่มา 40 กว่าปีไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาล

“แต่พอเข้ามาทำงานการเมืองแป๊บเดียว 3 ปี โอ้โห คดีเป็นหางว่าวเลย สุดท้ายคดีมันเป็นเพราะผมเป็นอาชญากรโดยสันดาน หรือเป็นเพราะคดีการเมือง ที่ผมมีจุดยืนทางการเมืองของผม และสิ่งต่าง ๆ ที่ผมทำผมว่าอนาคตจะพิสูจน์เองว่า ธนาธรไม่ได้ร่ำรวยขึ้นแน่ ๆ จากการทำงานการเมือง ในทางกลับกันจนลงด้วย ยุบพรรคผมไป พรรคยังไม่ได้คืนเงินผม 200ล้านเลย”

@ สิ่งที่คณะก้าวหน้าจะทำต่อไปจากนี้คืออะไร 

คณะก้าวหน้ายังยืนยันที่จะทำเรื่องการเมืองท้องถิ่น เราจะทำการเมืองท้องถิ่นที่ดี เพื่อให้คนไม่เลิกหมดหวังกับประเทศนี้ ขณะเดียวกันประเด็นที่สำคัญเราก็จะรณรงค์ต่อเนื่อง ในประเด็นที่สำคัญต่ออนาคตและทิศทางของประเทศ นี่คือบทบาทของเราที่ต้องการให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเราพูดเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่

@ในเรื่องการเมืองท้องถิ่นที่คณะก้าวหน้าทำมามีผลตอบรับอย่างไร และคาดหวังอย่างไรกับการเลือกตั้ง อบต. ที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้   

ที่ผ่านมาจะเห็นการทำงานในระดับเทศบาลของเรา ที่เลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา เชื่อว่าเทศบาลของคณะก้าวหน้ามีผลงานที่จับต้องได้ บางแห่งเป็นเรื่องการศึกษา บางแห่งเป็นเรื่องน้ำประปา ซึ่งภายใน 150 วันเราทำให้น้ำประปาดื่มได้ บางแห่งกำลังพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน บางแห่งเป็นเรื่องขยะ หลากหลายแล้วแต่ความสนใจ แล้วแต่สภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ มีทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจปากท้อง

คิดว่าหลังจากโควิดซาผลงานจะเยอะกว่านี้อีก จะเปิดโอกาสให้เราผลักดันเรื่องต่าง ๆ ได้มากกว่านี้ ในส่วนของ อบต. เราส่ง 210 แห่งทั่วทุกภูมิภาค มีตั้งแต่เหนือ อีสาน กลาง ตะวันตก ตะวันออก ปริมณฑล และภาคใต้ ในการเลือกตั้งเทศบาลรอบที่ผ่านมา เราส่งไป 105 ที่ เราชนะ 16 ที่ คิดเป็น 15-16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็พอใจ เพราะสมัยพรรคอนาคตใหม่ ถือว่าเยอะกว่าจำนวน ส.ส.เขตที่เราชนะ หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์  

ดังนั้นค่อนข้างพอใจผลงานที่ผ่านมาคือชนะในระดับเทศบาล 10 กว่าที่ ในระดับอบต.ถ้าใช้อัตราเดียวกันก็น่าจะ 20 อบต. ซึ่งก็พอแล้ว เพราะถ้าได้เยอะมากก็บริหารไม่ไหวเหมือนกัน เดี๋ยวจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะให้ความไว้วางใจเรามากแค่ไหน  

“อย่างไรก็ตามรอบ อบต.นี้ ถ้าประชาชนให้ความไว้วางใจเราทำงาน ต่อเนื่องสัก 2 รอบ 8 ปี ประชาชนจะเห็นท้องถิ่นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนถ้าผมไม่โดนอะไรเสียก่อนนะ” นาย ธนาธร กล่าว