เมื่อวันที่ 22 ต.ค. นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตามที่มีอาชญากรรมทางไซเบอร์ดูดเงินจากบัญชีธนาคารบัตรเครดิตและบัตรเดบิตประชาชนจำนวนมากนั้น เป็นเรื่องที่น่ากังวล เชื่อว่าจะมีอาชญากรรมทางไซเบอร์ในลักษณะต่างๆ เกิดขึ้นอีก ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลจะต้องตามให้ทัน และมีมาตรการปกป้องคุ้มครองประชาชนไม่ให้เป็นเหยื่ออาชญกรรมทางไซเบอร์นี้ ก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุข ยอมรับเองว่ามีการแฮกข้อมูลประชาชนกว่า 16 ล้านราย และมีเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลถูกแฮกเพื่อเรียกค่าไถ่หลายแห่ง ทำให้ดูเหมือนว่าประเทศไทยมีความอ่อนแอในการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ และอาจจะเป็นเป้าหมายมากขึ้นในอนาคตถ้าหากไม่สามารถป้องกัน และสร้างความเข้มแข็งเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์

นายกฤษฎา กล่าวว่า คณะทำงานเศรษฐกิจพรรค พท. ได้เตือนปัญหาของอาชญากรรมทางไซเบอร์นี้ตั้งแต่สมัยที่รัฐบาลเริ่มโครงการพร้อมเพย์ โดยพยายามจะให้ประชาชนทุกคนเข้าไปใช้ระบบนี้ และได้เตือนรัฐบาลว่า หากไม่มีระบบการป้องกันที่ดีพอ อาชญากรรมทางไซเบอร์จะมีเพิ่มขึ้นอีกมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าตรวจสอบและถือโอกาสนี้ในการเก็บข้อมูลและรักษาข้อมูลการค้าออนไลน์ทั้งหมดเพื่อป้องกันอาชญากรรม อีกทั้งจะเป็นประโยชน์ในการเก็บข้อมูลในบิ๊กดาต้าของรัฐในการวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ในอนาคตและจะเป็นประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี ซึ่งอาชญากรรมทางไซเบอร์ครั้งนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยให้รัฐบาลไทยตื่นตัว เพราะนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น และเชื่อว่าจะมีมากกว่านี้ในอนาคต 

นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ต้องตื่นตัวและเร่งรับมือกับปัญหานี้โดยด่วน ไม่ใช่คิดแค่เรื่องจับเฟคนิวส์ ซึ่งหลายครั้งดูเหมือนกลายเป็นรัฐบาลที่ออกข้อมูลที่คลาดเคลื่อน​ และทำให้ดูเหมือนเป็นผู้ให้เฟคนิวส์เสียเองหรือการไล่ปิดเว็บเพียงแค่นั้น จึงอยากขอเสนอให้รัฐบาลร่วมมือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะกับคณะกรรมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้า แห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร ร่วมมือกันจัดเตรียมระบบป้องกันอาชญกรรมทางไซเบอร์ที่เข้มแข็ง เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รัฐบาล ธนาคาร และเอกชนอาจจะร่วมมือกัน โดยรัฐบาลและธนาคารออกทุนใช้ข้อมูลจากภาคเอกชนและประชาชนที่เคยได้รับผลประทบ เพื่อให้ได้ระบบการป้องกันที่ดีสุด

“การเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วจะมีทั้งประโยชน์และมีทั้งโทษ รวมถึงมีอาชญากรรมที่จะตามมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลจะต้องเตรียมรับมือกับปัญหา โดยจะต้องคิดล่วงหน้าและหาทางป้องกันและปราบปรามเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างมากได้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ ขาดความรู้และตามไม่ทัน ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจจะมากเกินรับมือก็เป็นได้” นายกฤษฎา กล่าว.