สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ผลการศึกษาฉบับใหม่จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (NIH) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (21 ต.ค.) ระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ชนิด “เอ็มอาร์เอ็นเอ-1273” (mRNA-1273) ที่ฉีดเป็นโด๊สกระตุ้นให้ลิงวอก (rhesus macaques) หลังรับวัคซีนชุดแรกครบราว 6 เดือน ช่วยเพิ่มระดับแอนติบอดีลบล้างฤทธิ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ชนิดกลายพันธุ์ ที่จัดเป็นสายพันธุ์เฝ้าระวังที่รู้จักทั้งหมดได้อย่างมีนัยสำคัญ

ผลการศึกษาในวารสารไซแอนซ์ (Science) ยังพบว่าการตอบสนองของแอนติบอดีลบล้างฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นคงอยู่ในร่างกายหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โด๊สกระตุ้นแล้วอย่างน้อย 8 สัปดาห์ และมีระดับสูงกว่าช่วงหลังฉีดวัคซีนชุดแรกอย่างมีนัยสำคัญ

การตอบสนองของแอนติบอดีช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ระดับสูง ซึ่งหมายถึงศักยภาพการจำกัดไวรัสฯ ไม่ให้เพิ่มจำนวนในปอดและจมูกอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลบ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนโด๊สกระตุ้นช่วยกระตุ้นการตอบสนองทางความจำของภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง และอาจกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้คงอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น

คณะนักวิจัยชี้ว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ-1273 ที่ถูกพัฒนาเพื่อกำจัดไวรัสฯ สายพันธุ์ดั้งเดิม และวัคซีนชนิดเดียวกันที่ถูกปรับปรุงเล็กน้อยเพื่อกำจัดไวรัสฯ สายพันธุ์เบตา มีศักยภาพกระตุ้นการตอบสนองของแอนติบอดีและการป้องกันโรคได้เท่ากัน

การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ-1273 ในมนุษย์อาจเพิ่มระยะเวลาและศักยภาพการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่างจากไวรัสฯ ที่กำลังระบาดได้ทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์เดลตา

ทั้งนี้ คณะนักวิจัยระบุว่าผลการศึกษาสนับสนุนการฉีดวัคซีนโด๊สกระตุ้นในผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ผู้เสี่ยงสัมผัสเชื้อสูง และผู้มีการตอบสนองต่อการฉีดวัคซีนชุดแรกในระดับต่ำ..

เครดิตภาพ : ซินหัว