อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ได้พูดถึงเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “หมอหมู วีระศักดิ์” ซึ่งเปิดผลการศึกษาวิจัยใหม่ล่าสุดว่า “นอนเน่าบนเตียงทั้งวัน (Bed Rotting) เสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง อ้วน ซึมเศร้า” ผู้เชี่ยวชาญแนะ อย่านอนดึกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ควรเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน
โดยหมอหมู ระบุข้อความว่า “ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เตือนผู้คนไม่ให้ทำตามกระแสในโซเชียลมีเดียที่เรียกว่า นอนเน่าบนเตียงทั้งวัน (Bed Rotting) เนื่องจากอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และภาวะซึมเศร้า เพิ่มขึ้น กระแสไวรัลดังกล่าว ทำให้ผู้คนนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน หรือแม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์โดยไม่ทำอะไรเลย กระแสดังกล่าวอ้างว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพกายและใจ โดยช่วยให้ผู้คนได้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ”
นอกจากนี้ หากมองเผินๆ แนวคิดที่จะนอนอยู่บนเตียงและไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งวัน อาจดูเหมือนเป็นความฝันที่เป็นจริงสำหรับคนที่มีตารางงานที่ยุ่งวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ ดังนี้
- การนอนราบอาจทำให้ความดันโลหิตสูงในบุคคลบางคน ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า ความดันโลหิตสูงขณะนอนราบ (supine hypertension) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อระบบประสาทอัตโนมัติทำงานไม่ถูกต้อง
- การนอนบนเตียงนานเกินไป และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเป็นประจำ อาจนำไปสู่ภาวะโรคอ้วน และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองได้
โดยการนอนบนเตียงทั้งวันในห้องที่มืด จะทำให้เราไม่ได้รับแสงแดดตามธรรมชาติ ซึ่งอาจทำให้เกิดดังนี้
1. ความรู้สึกซึมเศร้าและวิตกกังวล
2. ปัญหาการนอนไม่หลับ เนื่องจากการได้รับแสงแดดทำให้ผิวหนังผลิตเมลานิน ซึ่งจะถูกนำไปใช้สร้างเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการนอนหลับ จึงทำให้การขาดเมลาโทนิน จะสามารถรบกวนจังหวะการทำงานของร่างกาย และรูปแบบการนอนหลับ ส่งผลให้วงจรการนอน ทำให้ตื่นไม่ปกติ
อีกทั้ง คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ คือ “ไม่ควรนอนเน่าบนเตียงทั้งวัน พยายามเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน และอย่านอนดึกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะอาจทำให้พฤติกรรมดังกล่าวไม่เป็นไปตามปกติ”
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดที่หมอหมูนำเสนอมีการอ้างอิงแหล่งที่มาชัดเจน และได้พยายามอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่บางครั้งอาจมีการโต้แย้งในข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องปกติในแวดวงวิชาการ ดังนั้น จึงขอเรียนทุกท่านว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านบทความของหมอหมู และควรหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความถูกต้องอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูล : หมอหมู วีระศักดิ์