เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เข้ายื่นหนังสือถึง กกต.  เพื่อขอให้คัดชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ออกจากบัญชีสำรองวุฒิสภา อันดับที่ 4 เพราะมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (6) ประกอบ 96 (3) เนื่องจากนายษิทราถูกดำเนินคดี และอยู่ระหว่างคุมขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลฯ ทำให้สิ้นสุดการเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ และหลังจากนี้ หากนายษิทราหวังว่าจะกลับมาทำงานการเมืองอีก ก็ต้องมีการแก้ไขบทบัญญัติ 2 มาตราดังกล่าว แต่ตอนนี้ตลอดชีวิตของนายษิทราไม่สามารถที่จะดำเนินการงานด้านการเมืองอะไรได้อีกต่อไป

นายสนธิญา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนยังขอให้ กกต. ตรวจสอบความเป็นสมาชิกวุฒิสภา ของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ที่เคยมอบโล่รับประกันความดีของทนายษิทรา เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2561 ที่มีการมอบโล่ศิษย์เก่าดีเด่นของวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ให้กับนายษิทรา

“ท่านได้มอบโล่ให้ทนายตั้ม โดยมีข้อความว่า ครูภูมิใจในตัวเธอ” นายสนธิญา กล่าว

นายสนธิญา กล่าวว่า ทั้งนี้ เนื่องจากหากย้อนไป ก่อนการมอบโล่ดังกล่าว มีข้อมูลปี 2558 นายษิทรา ก็มีปัญหาเกี่ยวกับการทำคดีความเด็กอายุ 8 ขวบ ที่จังหวัดสมุทรสาคร ถูกปืนลูกหลงเสียชีวิต มาก่อน แต่ในการมอบโล่รับรองคุณงามความดีที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างดีพอ เท่ากับเป็นการรับรองคุณภาพของบุคคลคนนั้นว่าเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์อย่างแท้จริง ทำให้สังคมและประชาชนเชื่อถือ และสิ่งที่ตามมาคือความเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงอยากให้ น.ส.นันทนา แสดงความรับผิดชอบที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่บอกว่าทำหน้าที่ สว.แล้ว ผ่านตำแหน่งตรงนั้นมาแล้ว ตนมองว่าไม่ใช่ ไม่ได้บอกว่าปัดความรับผิดชอบ แต่ต้องแสดงความคิดเห็นที่ให้ประชาชนสบายใจมากกว่านี้ในฐานะที่เป็นคนของประชาชนและทำหน้าที่สภาสูง และตนขอเรียกร้องไปยังมหาวิทยาลัยเกริก ผ่านทาง กกต. ว่าจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้อย่างไร เรื่องนี้คล้ายกับกรณีของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่เป็นเรื่องก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้หวังให้น.ส.นันทนาลาออกจากเหตุเรื่องนี้ เพราะตนมีเรื่องร้องเรียนกับ น.ส.นันทนาอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยต้องแสดงความขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อถามว่าทนายของฝั่งนายษิทราให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ว่า มีข้อต่อสู้ที่ทำให้รอดคดี มองว่าจะรอดจริงหรือไม่ นายสนธิญา ส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า  ประเด็นนี้ ตนก็ถอยห่างมาแล้ว แต่ขอฝากถึงทนาย ถ้าตนเปิดไปเจอสัมภาษณ์ทนายที่ออกมาพูด ขอบอกว่าตนไม่ดู เพราะทนายกลุ่มนี้คือกลุ่มเดียวกันกับที่ทำคดีของแตงโม (น.ส.นิดา พัชรวีระพงษ์ ดาราสาวพลัดตกเรือเสียชีวิต) จนกระทั่งถึงวันนี้ ตนขอถามว่าคดีแตงโมจับใครได้บ้าง

นายสนธิญา กล่าวอีกว่า คดีเหล่านี้ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน ไม่ว่าทนายฝ่ายโจทก์หรือจำเลย หรือแม้กระทั่งอัยการ ผู้พิพากษา ที่ทนายความออกมาพูดให้สัมภาษณ์อย่างนั้นอย่างนี้คือการวิเคราะห์ทั้งหมด ทำให้สังคมไขว้เขว ตนคิดว่าถ้ามีบุคคลใดไปร้องเพื่อให้สภาทนายความวินิจฉัยว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นของทนายความแต่ละฝ่ายนั้นทำให้ประชาชนไขว้เขว ไม่เป็นผลดีต่อรูปคดีด้วย ซึ่งนายกสภาทนายความน่าจะมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ตนเชื่อมั่นในตำรวจที่เข้าไปทำคดีนี้ โดยเฉพาะผู้บัญชาการกองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง ที่พูดกันตรงๆ ว่าใครขอไม่ได้ เรื่องสำคัญขนาดนี้ ถ้าเข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลางถือว่าคนนั้นจบแล้ว และคนที่มาทำคดีก็มีประสบการณ์ทำงานมา 30-40 ปี ผ่านคดีต่างๆ มากมาย ทำให้ตนมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำงานโดยสุจริตและยุติธรรมทั้งสองฝ่าย

“ทนายความก็หยุดบ้างเถอะครับ ท่านอย่าออกมาเป็นรายวันเลย มาให้เหตุผลอย่างนู้นอย่างนี้ สารพัด สุดท้ายตำรวจก็จะส่งเรื่องให้อัยการ อัยการส่งเรื่องต่อไปให้ศาล ก็ว่ากันไป ถ้าวันนี้ทุกอย่างสงบเรียบร้อย และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการไปแล้วทนายความต่างๆ ไม่ต้องเสนอหน้ามากมาย ผมเข้าใจว่าทนายความต่างๆ ที่ออกมาก็เพื่อให้ตนมีชื่อเสียง และได้ลูกความมากขึ้น หลักและจรรยาบรรณของทนายความคือห้ามโฆษณา วิธีการก็คือทำได้อย่างเดียวในการประชาสัมพันธ์เรื่องนี้” นายสนธิญา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงก่อนให้สัมภาษณ์ นายสนธิญาได้มีท่าทีกังวล มองซ้าย มองขวา และพูดติดตลกกับสื่อมวลชนว่า ที่อยู่ในที่นี้เป็นสื่อทั้งหมดใช่หรือไม่ ต้องดูให้ดี ซ้ายขวา ว่ามีใครอยู่หรือไม่ มีคนแปลกหน้าหรือไม่ เนื่องจากกังวลว่าจะตามรอยคนให้สัมภาษณ์ที่ถูกตบคาวงผู้สื่อข่าว.