จากกรณีเหตุการณ์ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้เดินทางเข้าเยี่ยมนายษิทรา ตั้งแต่ก่อนเวลา 08.00 น. โดยเข้ามาที่บริเวณประตูด้านข้างของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และอยู่ด้านใน ไม่ได้มาพบปะสื่อมวลชนที่ปักหลักรอสัมภาษณ์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทนายสายหยุดแจ้งว่า จะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หลังเข้าเยี่ยมนายษิทรา ในเวลาประมาณ 10.00-11.00 น. จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.40 น. นักข่าวที่รออยู่ด้านนอกพยายามติดต่อสอบถามโดยการโทรศัพท์ไปที่เบอร์ของทนายสายหยุด ซึ่งเจ้าตัวรับสายพร้อมกล่าวว่า ได้เข้าไปเยี่ยมนายษิทรา ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยใช้เวลาเยี่ยมเพียงแค่ไม่กี่นาที ก็ออกจากเรือนจำฯ ทันที โดยอ้างว่ามีธุระต่อ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ก่อนหน้านี้ทนายสายหยุดรับปากว่าจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่กลับหลบสื่อไปทันทีหลังเยี่ยมทนายตั้มเสร็จสิ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังจากที่มีข้อมูลจากตำรวจกองปราบปราม ยืนยันว่าได้จับกุมตัวนายนุวัฒน์ หรือนายนุ คนสนิทของทนายตั้ม กับ น.ส.สาริณี ภรรยาของนายนุ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงิน และ พ.ร.บ.คอมพ์ ซึ่งเกี่ยวกับเงินจำนวน 39 ล้านบาท จากเจ๊อ้อย นั้น
ความคืบหน้า เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 12 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปยังเบอร์ของทนายสายหยุดอีกครั้ง พบว่าเจ้าตัวรับสาย พร้อมให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้หนีสื่อ แต่มีงานต่อ เพราะต้องรีบออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังมีข่าวว่า นุ กับ สาริณี ถูกจับ อีกทั้งตนเองเข้าไปเยี่ยมทนายตั้มตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นคิวแรก และระหว่างนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตำรวจจับนายนุกับสาได้ จึงจะรีบมาตรวจสอบกับพนักงานสอบสวนว่า จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาทนายตั้มด้วยหรือไม่ เพราะมีข่าวลือว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาด้วย จึงอยากตรวจสอบกับพนักงานสอบสวนให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องเป็นข่าวลือ เพราะตนเองเป็นทนายความ มีสิทธิถามรายละเอียดได้
เมื่อถามว่าหากมีการแจ้งข้อกล่าวหา ได้เตรียมแผนดำเนินการไว้อย่างไรบ้างนั้น ทนายสายหยุด กล่าวว่า อย่างที่เคยบอกไว้ หากพยานหลักฐานชี้ชัดไปว่า ทนายตั้ม เป็นผู้ร่วมขบวนการนี้ แบบที่ปฏิเสธลำบาก ตนเองก็จะไม่ทำคดีนี้ให้ และจะต้องไปพูดคุยกับทนายตั้มอีกครั้ง และวันนี้ที่เข้าไปเยี่ยมทนายตั้ม ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับทนายตั้ม เรื่องคดี 39 ล้านบาท เพราะตอนที่อยู่ภายในเรือนจำ ตนเองยังไม่ทราบว่านายนุกับสา ถูกจับแล้ว แต่พอระหว่างเยี่ยมอยู่นั้น ทางเลขาฯ จึงแจ้งข้อมูลให้ทราบ ซึ่งตอนที่พูดคุยกันภายในเรือนจำกับทนายตั้ม ตนเองก็ยังไม่ได้ถามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และไม่อยากบอกให้ทนายตั้มกังวลใจด้วย ทั้งนี้ จึงอยากให้ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาก่อน แล้วดูข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนแจ้งว่าเกี่ยวข้องกับทนายตั้มหรือไม่ เพราะหากพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา จะบอกพยานหลักฐานตามสมควรที่ตำรวจมี และเมื่อทนายความดูพยานหลักฐาน ก็จะทำให้รู้ได้ว่าทนายตั้มเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อวิเคราะห์เบื้องต้นได้ว่าไม่เกี่ยวและปฏิเสธ ก็ทำคดีต่อ แต่หากพยานหลักฐานชัดเจนว่าเกี่ยวข้องแน่นอน ไปไม่รอด ก็คงไม่ทำคดีต่อในคดีนี้แน่นอน นอกจากนี้ จะขอรอดูจนกว่าจะถึงขั้นตอนของการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะไม่อยากพิพากษาทนายตั้มไปก่อน เหมือนที่สังคมกำลังพิพากษา
ทนายสายหยุด เผยอีกว่า ส่วนการเข้าเยี่ยมทนายตั้มในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยเรื่องความเป็นอยู่ เพราะเมื่อวาน (11 พ.ย.) ตนไม่ได้เข้ามา ทนายตั้มก็กระวนกระวาย และทนายตั้มก็อยากให้ตนเองเข้ามาเยี่ยมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่หากมีประเด็นก็สามารถเข้ามาได้ตลอด ทั้งนี้ ทนายตั้มฝากบอกภรรยาให้ทนอยู่ไปก่อน ส่วนเรื่องทางคดีที่ปรึกษากัน ยังไม่ขอบอกในรายละเอียด ส่วนความเป็นอยู่ของทนายตั้ม ตอนนี้ก็อยู่ได้สบาย ไม่มีอะไร