เมื่อวันที่ 12 พ.ย. นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่เข้าไปเยี่ยมทนายตั้มภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่า ทนายตั้มกำลังใจดี และได้พูดคุยกันเรื่องทั่วไป เรื่องคดี และก็ได้สอบถามว่าที่เรือนจำมีปัญหาอะไรหรือไม่ มีโจทก์เก่ามีใครทำอะไรหรือไม่ ซึ่งทนายตั้มบอกไม่มี มีแต่คนแย่งกันมาดูแลตนเอง ตนเองก็ได้ฝากเงินไว้ให้ทนายตั้ม 15,000 บาท รวมถึงทนายตั้มยังได้ฝากให้ดูคดีความค้างเก่าที่สำนักงานด้วย ส่วนเรื่องภรรยา ทนายตั้มก็ฝากให้ตนไปรวบรวมหลักฐานเพื่อประกันตัวภรรยาออกไปก่อน แต่ตัวของทนายตั้มไม่ต้องประกันจนกว่าอัยการจะฟ้อง

ส่วนกรณีที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามออกหมายจับนุ คนสนิททนายตั้ม กับ สาริณี ภรรยา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมานั้น ก็ทราบตอนออกมาจากเรือนจำแล้ว และได้ข่าวลือมาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาทนายตั้มวันนี้ ทำให้ต้องตรวจสอบไปที่พนักงานสอบสวน โดยได้รับแจ้งว่า ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาทนายตั้ม ในข้อหา ‘ร่วมกันฉ้อโกง’ ด้วย แต่ยังไม่ได้เข้าไปแจ้งวันนี้ ส่วนจะไปเมื่อไรรอทางตำรวจโทรมานัดหมายทางทนายความเพราะต้องมีทนายความอยู่ด้วย และจะทำให้ได้ทราบข้อเท็จจริงว่าทนายตั้มไปเกี่ยวข้องส่วนไหนยังไง

นายสายหยุด กล่าวว่า วันนี้ก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับทนายตั้มเรื่องเงิน 39 ล้านบาท เพราะตอนนั้นยังไม่ทราบว่าจับนุ กับสา ซึ่งต้องรอดูข้อเท็จจริงในการแจ้งจ้อกล้าวหาทนายตั้มเข้าไปเกี่ยวข้องส่วนไหนอย่างไร แล้วจะปรึกษากันหลังจากนี้ ถ้าเขาผิดจริง ร่วมขบวนการจริง ไปแต่งเรื่องหลอกเอาเงินเขา ผมก็ต้องบอกเขาตรงๆว่าผมไม่ทำคดีนี้ให้เขา ซึ่งหากไม่ทำคดีก็คือจะทำเฉพาะคดี 39 ล้านเท่านั้น

ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่าทนายตั้มเกี่ยวข้องกับการไปเบิกเงินสดที่ธนาคารห้าแยกลาดพร้าวนั้น นายสายหยุด ระบุว่า รอให้เจ้าหน้าที่รัฐออกมายืนยัน และกล่าวหาก่อนดีกว่า ว่าวันนั้นทนายตั้มไปรับเงิน เพราะถ้าตนเอาหลักฐานออกมาแล้วจะหงายท้อง เพราะเขาไม่อยู่ ยืนยันได้ว่า มีหลักฐานที่ว่าทนายตั้มไม่อยู่ในวันดังกล่าวและได้เตรียมไว้หมดแล้ว แต่ขอรอดูว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาอย่างไร

นายสายหยุด ยังกล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบเรื่องของการห้ามปรามเจ๊อ้อยให้โอนเงิน ให้สแกมเมอร์ 39ล้านบาทนั้น เป็นการห้ามตั้งแต่ผู้เสียหาย แชทคุยกับคนที่อ้างว่าเป็นดาราจีน “แล้วทนายตั้มก็ห้ามว่า ไม่ต้องไปให้เงินหรอก มันจะมีเงินในบัญชีบิทคอยน์ขนาดนั้นจริงหรือเปล่า ผมว่ามันไม่น่ามีตังค์ถึงขนาดนั้น เท่าที่ตนเองพูดคุยกับทนายตั้ม ในข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทนายตั้มบอกว่า ไม่เกี่ยวข้อง ผมห้ามเขาตลอด ไอนุเหรอจะมีเงินในบัญชี 30-40ล้าน เพราะตนก็บอกทนายตั้มไปเหมือนกันว่าถ้ามีอีกก็ไม่ไหวแล้วนะ ไปหลอกเขาทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ไหวรึเปล่า เป็นการพูดคุยกันในห้องสอบสวน และเมื่อทนายตั้มบอกไม่เกี่ยวก็ไม่ได้ถามลงลึกและไม่ได้ถามจับผิด ส่วนเขาจะให้การยังไงก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของเขา ทั้งนี้ ไม่อยากตอบหรือให้ความเห็นว่าเกี่ยวข้องกับเงิน 39ล้านหรือไม่ เพราะยังไม่เห็นข้อเท็จจริง ตามที่พนักงานสอบสวนจะเข้ามาแจ้งข้อหา

นายสายหยุด ยอมรับว่า ตอนอยู่สำนักงานษิทรา ลอว์เฟิม ก็เคยไปเที่ยวกันในสำนักงาน แล้วก็ได้เจอกับนุ กับสาริณี ที่ตามมาทีหลัง ซึ่งตอนนั้นตนเองไม่รู้ว่าเป็นใครรู้ว่าเป็นแขกของทนายตั้ม และเท่าที่ทราบน่าจะเคยเป็นลูกความกัน และน่าจะสนิทสนมกันระดับหนึ่ง ส่วนตนก็พูดคุยกับนุ และสาริณีแบบทั่วไป นั่งกินดื่ม ก่อนกลับก็ได้ถ่ายรูปร่วมกัน ซึ่งก็ไม่ได้ไปคุยอะไรกันเยอะ และเคยเจอทั้งสองคนแค่ครั้งเดียว รวมถึงตั้งแต่มีประเด็นข่าวก็ไม่เคยพูดคุยกับสองคนนี้เช่นกัน

 ส่วนประเด็นที่ทนายเดชา ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มีพยานบุคคลที่เห็นข้อความแชทพูดคุย ว่าเจ๊อ้อยยกเงินให้ทนายตั้มนั้น นายสายหยุด ระบุว่า มีพยานบุคคลจริง ยังไม่เคยมาให้การต้องรอมาให้ปากคำก่อน แต่ยังไม่ขอให้รายละเอียดมาก รอให้เรื่องเรียบร้อยก่อนเพราะกังวลว่าพยานจะตกใจ ส่วนจะแก้ข้อกล่าวหาได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็เป็นพยานปากหนึ่งที่ได้รู้ได้เห็นตอนเขาคุยกัน ส่วนจะฟังได้หรือไม่ได้คงต้องให้ศาลพิจารณา

นายสายหยุด กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนเองก็เป็นเพื่อนทนายตั้ม ก็ยอมรับว่า กังวลในคดี 39 ล้านทนายตั้มเกี่ยวข้องจริง เพราะเขาต้องไปรับโทษ คงต้องทำใจ ทั้งนี้หากนุ กับ สาริณี ให้การพาดพิงไปที่ทนายตั้มเกี่ยวนั้น ก็ต้องดูอีกครั้งเพราะพยานบุคคลน้ำหนักที่รับฟังไม่ได้มากเท่าไรหากมีส่วนได้เสียด้วย คงจะต้องมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ชัดเจนกว่าคำพูด โดยเฉพาะเวลาที่เกิดเหตุ ไม่ใช่พอโดนจับแล้วมาอ้างว่าทนายตั้มใช้ทนายตั้มสั่ง ซึ่งต้องดูเจตนาว่า นุกับสา ทำหรือไม่ ต้องรอดูข้อมูลทั้งหมดก่อน และเชื่อว่าตำรวจคงมีข้อมูลชุดนี้อยู่แล้วก่อนที่จะออกหมายจับและแจ้งข้อกล่าวหา คงไม่ใช่การจับแล้วมาซัดทอด ซึ่งคดี ที่เกี่ยวกับเงิน 39 ล้านนี้ จะเป็นคดีใหม่อีก1คดีหนึ่ง ซึ่งตัวละครหลักตอนนี้ที่ถูกแจ้งข้อหา จะมีทั้ง นุ สาริณี และทนายตั้ม 3 คน และยังไม่รู้ว่าจะมีคนอื่นร่วมอีกหรือไม่ด้วย

ส่วนประเด็นวันนี้ที่ นุ กับสาริณี ไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.บางซื่อนั้น ก็ได้สอบถามกับทนายตั้มว่าได้ให้ไปแจ้งความหรือไม่ ซึ่งทนายตั้มบอกว่า นุมันบอกจะไปลงบันทึกวัน แค่นั้นไม่ได้ฝากอะไร และบันทึกประจำวันลงที่ไหนก็ได้ และทนายตั้ม ก็ยืนยันว่า ไม่ได้มีการประสานงานไปให้ แต่ทนายตั้มเคยไปแจ้งความที่บางซื่อ ส่วนเคยโทรหาผู้กำกับสน.บางซื่อหรือไม่นั้น ทนายตั้มบอกว่า เคยคุยกับผู้กำกับ แต่ตนเองไม่ได้ถามเจาะ ซักลงไปว่าในวันที่ไปลงบันทึกประจำวัน ทนายตั้มได้โทรไปคุยหรือไม่ โทรไปก่อนหรือหลังหรือฝากไว้หรือไม่อย่างไร ซึ่งจะขอดูการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน เพราะหากยังไม่มีข้อเท็จจริง ตนเองก็ยังไม่อยากไปคาดคั้นอะไรกับทนายตั้ม

 เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่สังคมมองว่า เป็นทนายความก็ต้องช่วยลูกความนั้น ทนายสายหยุด บอกว่า ทนายตั้มก็เป็นประชาชนที่โดนกล่าวหา ต้องมีทนายความแก้ต่างให้ หากผิดจริงก็ต้องรับโทษ แต่โทษที่จะได้รับควรจะเหมาะสมกับที่เขากระทำ “ผมเป็นทนายความต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” พร้อมย้ำว่า คำให้การของทนายตั้มให้การ แค่ครั้งเดียวกับพนักงานสอบสวน ไม่เคยเปลี่ยน และไม่ได้ให้การกลับไปกลับมา ส่วนเขาจะพูดที่อื่นยังไงเป็นการสับขาหลอกหรือไม่นั้นไม่ยืนยัน

นายสายหยุด ยังเล่าในช่วงท้ายเพิ่มเติมด้วยว่า ทนายตั้ม เล่าให้ฟังว่าในช่วงเวลากินข้าวในเรือนจำ ทนายตั้มได้เจอกับ กลุ่มบอสดิไดคอนผู้ชาย แล้วเขาก็เจอคุยกันไม่มีอะไรกัน เพราะอยู่ในสถานะเดียวกันแล้ว และท่าทางของทนายตั้มก็มีท่าทางผ่อนคลายขึ้น “สบายๆพี่ ตอนดีกันเขาเขาให้เงินผม แล้วพอไม่ดีเขาก็มาเอาคืน แล้วเขาก็เคยให้เงินคนไทยอีกคนหนึ่งไป1ล้านยูโรแบบนี้เหมือนกัน ต่อหน้าผมด้วย แล้วผมทนายษิทรานะเว้ยพี่ มันก็ไม่ได้เยอะ แล้วเขาให้ผมเวลาผิดใจก็มาขอคืนแล้วผมโกงเขาเหรอพี่” ซึ่งทนายตั้มก็ย้ำกับตนเองแบบนี้ตลอด โดยทนายความก็เตรียมจะประสานหาพยานคนนี้ ที่เคยรับเงินจากเจ๊อ้อยมาให้การด้วย