เรียกได้ว่าถึงแม้จะเลิกลากันไปสักระยะนึงแล้ว แต่ก็ยังทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดีได้ สำหรับนางร้ายสุดสตรอง “หนิง-ปณิตา พัฒนาหิรัญ” กับอดีตสามี “จิน-จรินทร์ ธรรมวัฒนะ” ล่าสุด หนิง จัดงานเปิดตัวค่ายเพลง A BEAR DAY Ent. & KHAOSAN KIDS ซึ่งงานนี้เธอได้นั่งแท่นผู้บริหาร โดยมี “น้องณิริน” ลูกสาวสุดที่รัก และเพื่อนๆของน้องจากวง “Clover Band” จัดเต็มเปิดวงโชว์สุดพิเศษแบบครบรส ทำเอาแฟนๆปลื้มกับโชว์ของน้องณิรินกันเป็นแถว จนเสียงกรี๊ดดังสนั่นลั่นฮอลอีกด้วย
หลังจากจบจากงานเปิดตัวค่ายเพลง หนิง ได้อกกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน สำหรับการให้น้องณิรินก้าวเข้าสู่ศิลปินอย่างเต็มตัว ซึ่งทางด้านหนิงยังไม่พร้อมเพราะอยากให้น้องณิรินรู้จักตัวตนของตัวเอง และพัฒนาฝีมือให้เก่งกว่านี้ก่อน และถ้ามองในฐานะคนทำเบื้องหลัง ยังมีคนเก่งกว่าณิรินอีกเยอะ พร้อมทั้งอัปเดตความสัมพันธ์กับอดีตสามีที่เดินทางมาให้กำลังใจทั้งแม่และลูกสาวด้วยตัวเอง โดยหนิงได้เผยว่า
“สำหรับหลายคนที่สงสัยว่ามาเปิดค่ายเพลงเพราะซัพพอร์ตลูก เอาจริงๆ ถ้าใครอยู่ในงานแถลงข่าวคือจะเห็นชัดแล้วว่าลูกอยากทำมาโดยตลอด แต่หนิงก็ไม่ได้รับน้องณิรินเข้ามาอยู่ในค่าย ทุกอย่างมันก็จะผ่านกระบวนการ และการดิ้นรนของเขาเองทุกอย่าง และถามว่าหลายๆค่ายที่มีโอกาสได้เข้ามาคุยกับหนิง พอรู้ว่าวันนี้หนิงมาทำหน้าที่เป็นผู้บริหาร เขาก็ถามว่า แสดงว่าหนิงจะต้องเอาน้องณิรินมาอยู่ค่ายนี้แล้วใช่ไหม หนิงตอบเลยว่าไม่ใช่ ที่เหลือมันอยู่ที่ณิรินเองว่า เขาจะเป็นแบบไหน เพราะว่าจุดประสงค์ของค่ายเราคืออยากให้ทุคนตามหาฝันและทำตามความฝันได้จริงๆ ท้ายที่สุดณิรินอาจจะไม่ได้อยากเป็นศิลปินก็ได้ ท้ายที่สุดณรินอาจจะอยากเป็นนักดนตรีก็ได้ เพราะช่วงนี้เขาเองก็พยายามเรียนเครื่องดนตรีอื่นๆ เพิ่ม อันนี้คือจุดประสงค์สำคัญจริง สุดท้ายณิรินอาจจะเล่นแบบเป็นวง หรือคนเดียว หรือเกิร์ลกรุ๊ป หนิงยังไม่เห็นสิ่งนั้นในตัวณิริน ณิรินจะต้องเป็นตัดสินใจเอง และทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามระบบระเบียบ เพราะถ้ามันใช่ วันนี้หนิงคงประกาศเปิดตัวว่าเขาคือศิลปินฝึกหัดของKhaosan Kid ซึ่งทั้งวงเขาเองก็ยังอ้อนวอนเราบนเวทีว่า ขอนะ แต่ว่าเราบอกยังไม่ใช่ยังไม่ได้. ซึ่งหนิงต้องบอกอย่างนี้ว่าถ้าในมุมมองของหนิงที่หนิงดูแล้วให้หนิงตัดสินในฐานะของคนทำงานเบื้องหลังหนิงก็จะพูดกับลูกหนิงเสมอว่า ณิยังมีคนเก่งกว่านี้อีกเยอะนะลูก ณิพัฒนาก่อนแล้วณิมาคุยกับแม่ใหม่ แล้วจะอยู่ตรงไหนมันก็จะต้องใช้ความสามารถของตัวเองแล้วหาตัวตนของตัวเองให้เจอว่า ตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ตัวเองอยากจะทำวงหรือตัวเองร้องเดี่ยว หรือตัวองอยากจะเกิร์ลกรุ๊ป เขายังตอบตรงนี้ได้ไม่ชัดเจนและที่สำคัญคือเขาต้องพัฒนางานให้ได้เก่งกว่านี้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน คำพูดที่บอกว่ามีคนเก่งกว่าลูกเยอะ ณิรินเขาก็รู้สึกค่ะ แต่หนิงจะสอนลูกตามความเป็นจริงค่ะ ว่าความจริงมันคือแบบนี้ ถ้าเราอวยยศกันไปเรื่อยๆ เด็กก็จะไม่รู้ว่า ข้อบกพร่องของตัวเอง หรือสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทุกคนมีความฝันทุกคนมีความอยาก แต่บนความฝันและความอยาก ณ วันนี้เราต้องสอนให้ลูกๆหลานๆ ของเราฝันได้อยากได้ แต่มันต้องอยู่กับความจริงที่เป็นด้วย มันไม่ใช่ฝันปุ๊บ อยากปุ๊บ แล้วก็ผู้ปกครอง พ่อแม่ เราโรยทุกอย่างเอาไว้ให้เลย พอเด็กไม่ได้รู้จักความลำบาก ถึงจุดๆนึงแล้วมันจะไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับพวกเขา เรียกว่าไม่ได้สปอย จริงๆ ถ้าใครอยู่หลังเวที จะรู้เลยว่าก่อนขึ้นเวที ตอนซ้อมณิรินน้ำตามาหนักพอสมควร ซึ่งถ้าใครดูเขาบนเวที ก็จะรู้ว่าเขาก็พยายามมาก เขาดูตื่นเต้นแต่เขาก็พยายามมาก ตอนลงมาจากเวทีเขาก็ยังถามว่า นี่ไงทุกคนบอกให้หนูทำได้แล้ว หนิงบอกไปว่า เดี๋ยวยัง ก็คงจะตอบไปคำเดิมว่ายังค่ะ หลายคนมองว่าหนิงแสตนดาร์ดสูงพอสมควร อย่าใช้คำว่าสแตนดาร์ดสูงเลย หนิงว่าหนิงใช้ความเป็นมาตรฐานของคนเป็นผู้บริหารตัดสินเด็กดีกว่า หนิงเชื่อว่าถ้าเป็นผู้บริหารคนๆอื่น แล้วจะต้องอยู่ในมุมของหนิงเอง เขาจะต้องเลือกเด็กที่เก่งกว่าอยู่แล้ว เพราะเด็กที่เก่งกว่ายังมีอีกเยอะ
ถ้าถามถึงมุมมองของหนิงในสายตาตอนนี้ลูกเราเริ่มเข้าใกล้ความเป็นศิลปินหรือยัง เอาจริงๆป่ะ หนิงจะโดนถล่มไหม ถ้าจากใจหนิงยังค่ะ ยังต้องมีระเบียบ และก็ยังต้องมีความตั้งใจ แล้วไม่ขี้เกียด แต่ทุกครั้งที่เขาทำงานสำเร็จ หนิงจะขอบคุณในความพยายามของเขาว่า เก่งมากนี่ไงคือพยายาม มันดีขึ้นแล้ว ถ้ายูอยากจะดีขึ้นกว่านี้ ยูต้องพยายามกว่านี้ เพราะว่าสุดท้ายแล้วยูจะอยู่ในสังคมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ สังคมวงการบันเทิง ได้อย่างรอดปลอดภัย ผลงานเท่านั้นจะเป็นตัวที่กำหนดการอยู่รอดของคุณ แล้วก็ความพยายามความอดทน จิตแข็งๆเท่านั้น จะเป็นตัวที่กำหนดความอยู่รอดของคุณ ซึ่งมีหลายค่ายติดต่อมิรินมาเยอะมาก ตั้งแต่งานแฟนมีตที่ขึ้นไปเต้นกับน้องลียา ก็จะมีผู้ใหญ่ที่เรารู้จักโทรมาว่ายังไง หนิงก็บอกว่า อยากจะส่งไปให้ใครสักคนนึงไปเลย ไปรู้ว่ามันเหนื่อยขนาดไหน สุดท้ายพอเป็นลูกเราและความที่หนิงเกรงใจทุกคนที่ติดต่อมา หนิงไม่อยากให้ลูกหนิงต้องไปเหนื่อยใคร เพราะฉะนั้นขอให้ณิรินพร้อมก่อน แล้วจะดีกว่า เพราะเราก็ต้องมีงานที่เราต้องทำ ถ้าเขาพร้อมแล้วเขาไป หนิงว่าสุดท้ายไม่ต้องมีใครไปผลักดัน เขาก็จะไปได้เอง พอถึงวันนั้นเขาอาจจะไม่ได้อยากเป็นศิลปินก็ได้ เขาอาจจะทำงานด้านอื่นที่เขามีโอกาสได้ลองในตอนนี้ก็ได้ อนาคตเขาอาจจะเป็นเด็กฝึกค่ายเราหรืออาจจะไม่ก็ได้ ทุกอย่างอยู่ที่อนาคตมากกว่า 11ขวบเอง ไปตั้งใจเรียนหนังสือก่อน เขาก็มีอ้อนอยากทำเพลงตลอด แต่หนิงก็บอกว่าใจเย็นๆ อันดัยแรกเลยคือ1.ตั้งใจเรียน 2.ฝึกระเบียบวินัยให้เราเป็นคนที่รับผิดชอบในทุกเรื่องก่อน”
หนิงได้เผยต่อว่า “สำหรับเรื่องที่คุณจินโพสต์ในอินสตาแกรมว่าเชียร์ณิรินและแม่ณิริน ก้คือหนิงเองกับทางคุณจิน ถ้ามันมีกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับลูก เราจะอัปเดตเขาตลอดทุกอย่าง และถ้าเขาสะดวกเขาก็จะมา วันนี้เขาก็โทรมา เขาจะรู้ตารางอัปเดของณิรินตลอด เขาก็จะถามว่า ขอมาให้กำลังใจลูกได้ไหม หนิงก็จะบอกเขาว่า ยินดีลย และณิรินเองเขาก็มีความสุขด้วย ก็ต้องขอบคุณที่แบบว่าเขามาและก็เป็นรอยยิ้มนึงที่ทำให้ณิรินมีความสุข และทำให้ตัวเขาเองมีความสุขที่ได้เห็นลูกได้ทำให้สิ่งที่ชอบ หนิงว่ามันเป็นเรื่องดีๆนะ ถ้าสมมุติณิรินมีกิจกรรมอะไร หนิงก็จะมีตารางการอัปเดตของณิริน ที่ให้อัปเดตทุกอาทิตย์อยู่แล้ว หนิงเชื่อว่าณิรินสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือกำลังใจจากพ่อและแม่ ก็ต้องขอบคุณที่พยายามทำในส่วนตรงนี้ให้ณิรินค่ะ ถ้าบางครั้งคุณจินสะดวกคุณจินก็จะมา แต่ว่าบางกิจกรรมหนิงมองว่าครั้งนี้สำคัญนะ เรารับรู้ความรู้สึกลูกเราได้ว่า อยากให้พ่อมา เราก็จะเป็นคนโทรบอกว่า ครั้งนี้มาให้ลูกหน่อยได้ไหม เขาก็จะโอเค ส่วนครั้งไหนที่ณิรินเห็นพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาเขาก็จะยิ้ม คือจริงๆ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าลดความตื่นเต้นลงไป เขาเห็นพ่อแม่นั่งอยู่ด้วยกันที่หน้าเวที เรารู้สึกได้เลยว่าความกังวลของเขามันไม่มี มันคลายลง เพราะว่าก่อนขึ้นเวทีณิรินถามว่า เดี๋ยวให้พ่อนั่งกับแม่ได้ไหม เราก็บอกว่าได้สิไม่มีปัญหา จริงๆตอนแรกคุณจินเขานั่งอยู่กับกลุ่มผู้ปกครอง หนิงก็เลยให้ทางเลขาไปเชิญมาให้มานั่งด้วยกัน เพราะว่าลูกจะได้เห็น จะได้ไม่ต้องกังวล คือถ้าเป็นเรื่องลูก เราสองคนแทบจะไม่ตอบพูดอะไรกันเท่าไร เราก็จะให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีเลยค่ะ ก่อนจแยกกันกลับคุณจินเขาก็บอกเราว่า เธอๆให้ลูกทำๆไปเป็นศิลปินสักทีเถอะ อย่าให้เขาต้องขอนาน หนิงบอกว่ายังไม่ได้ ขอให้เป็นผู้ใหญ่อีกนิดนึง โตขึ้นกว่านี้ ตอนนี้รู้สึกว่าอยากให้เรียนได้เต็มที่ก่อน อันนี้คือสำคัญ
ทุกครั้งที่ได้โคจรมาเจอกับอดีตสามี (หัวเราะ) ในมุมของหนิงก็ดีนะคะ ดีที่ลูกยิ้ม แต่ถ้าในมุมอื่นๆก็คือๆไม่มีอะไรที่มันจะนอกเหนือมาจากสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ว่า หนิงมูฟออนแล้ว แต่ในมุมที่ดีลูกยิ้มก็คือ รอยยิ้มของลูกคือที่สุดสำหรับชีวิตของหนิงเลย เมื่อลูกมีความสุจ ประสบความสำเร็จ ลูกได้ทำในสิ่งที่แฮปปี้ เขายิ้มได้เต็มที่และแววตาเขามันบ่งบอกถึงความสุข มันคือที่สุดของหนิงแล้ว ตอนที่ดูโชว์ของลูกหนิงก็นั่งคุยกับคุณจิน คุณจินก็จะพูดเป็น10รอบว่า เธอๆให้เขาทำสักทีเถอะ ก็จะคุยถึงเรื่อดีเทลของลูกมากกว่า แต่ถ้าคุยถึงเรื่องส่วนตัวไม่มีค่ะ ส่วนหลายคนที่มองถึงโมเมนต์ครอบครัว มันก็ไม่แปลกหรอกที่คนจะมอง จริงๆ แล้วก็ให้มองอย่างนี้ดีกว่าว่า คนเป็นอดีตสามี ภรรยา มีสิทธิ์ที่จะต่างคนต่างเป็นคนอื่นได้ แต่เราทั้งคู่ไม่สามารถเป็นคนอื่นให้กับลูกได้ ฉะนั้นต่อจะให้ตีกัน ไม่แฮปปี้กันยังไง แต่เพื่อลูกเราต้องทำให้ดีที่สุด หนิงว่าทุกครอบครอบครัวก็อยากทำให้ได้ แต่สุดท้ายหนิงว่าเด็ก ยังไงก็คือผ้าขาวที่เขาไม่ได้ผิดอะไรเลย มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมารับภาวะของพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ตอนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เราทะเลาะกัน เราแยกกันแล้วมันก็ไม่ควรจะทะเลาะในเรื่องของลูก แต่ถ้าเรื่องส่วนตัวเราแยกกันออกไปค่ะ”