เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ว่า ตนติดตามการปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บนเวทีหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี แล้ว ทำให้นึกถึงคำที่พูดถึงนิสัยของคนแก่คือ “กินของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง” เพราะการปราศรัยของนายทักษิณฟอร์มตกมาก เป็นเหมือนผู้เฒ่าที่ “ชมลูกสาว เล่าความหลัง” พยายามรื้อฟื้นผลงานสมัยที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ทำเศรษฐกิจดีมาโอ้อวด หลงอยู่กับผลงานในอดีต และพยายามสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นคนปราบยาเสพติดได้ผล จึงกล้าพูดบนเวทีให้บอกพ่อค้ายาว่า “ทักษิณมาแล้ว” และพูดถึงนโยบายที่รัฐบาลจะทำล่วงหน้า เหมือนกับเป็นนายกรัฐมนตรีเอง นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสังเกต คือนายทักษิณใช้เวลากล่าวปราศรัยหาเสียงให้กับผู้สมัครนายก อบจ. เพียง 5 นาที ที่เหลือพูดถึงเรื่องผลงานที่เคยทำในอดีต และอวย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีว่าเป็นคนเก่งกว่าตัวเองอีก รอดูผลงานแก้ปัญหาของรัฐบาลในเร็วๆ นี้ ซึ่งนายทักษิณได้ใช้เวทีหาเสียงครั้งนี้เพื่อแก้ตัว และโปรโมตลูกสาวของตัวเองเป็นหลัก
“นายทักษิณกำลังหลงตัวเองคิดว่าพ่อค้ายาเสพติดเกรงกลัว ซึ่งไม่มีผลอะไรต่อการปราบปรามนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเลย ตั้งแต่ยุครัฐบาลเศรษฐาจนถึงรัฐบาลแพทองธาร ปัญหายาเสพติดระบาดไปทั่วเมือง มีมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป รวมถึงการพูดถึงหนี้ครัวเรือนปัญหาความยากจนที่จะต้องแก้ไข รัฐบาลเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมาแล้ว 2 ปี ยังไม่เห็นฝีมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เลย พยายามสร้างภาพว่าพรรคเพื่อไทยเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” นายเทพไท ระบุ
นายเทพไท ระบุอีกว่า การขึ้นเวทีปราศรัยของนายทักษิณในครั้งนี้ หวังผลสะเทือนทางการเมืองในภาพกว้าง มากกว่าหวังผลคะแนนในการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี เพราะสนามเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี โดยพื้นฐานคะแนนเสียงพรรคเพื่อไทย มีพื้นฐานคะแนนเป็นต่อพรรคประชาชนอยู่มาก ดูจากผลคะแนน สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย มีคะแนน 353,147 คะแนน กับพรรคประชาชนมีคะแนน 295,097 คะแนน จำนวน สส.เขตของพรรคเพื่อไทยมี 7 คน รวมกับ สส.แปรพรรคอีก 2 คน ขณะที่พรรคประชาชนมี สส. 1 คน นายทักษิณจึงใช้เวทีนี้ฉายภาพความเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านสื่อไปทั่วประเทศ เพราะรู้ดีอยู่ว่าการขึ้นเวทีปราศรัยครั้งนี้ เป็นที่จับจ้องของสื่อทุกแขนง และนำภาพความเคลื่อนไหวไปเสนอให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ ซึ่งได้ผลมากกว่าการเคลื่อนไหวในวาระอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง
นายเทพไท ระบุว่า แม้ผลการสำรวจของอุดรโพล ระบุว่าผู้สมัครของพรรคประชาชนได้รับคะแนนนิยม 32.6 เปอร์เซ็นต์ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยได้รับความนิยม 15.2 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้ยังไม่ตัดสินใจอีก 47.9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจทำให้คะแนนผกผันได้ สิ่งที่พรรคประชาชนสามารถพลิกโอกาสให้มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นได้ คือการนำจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองมาเป็นจุดขาย เพราะ จ.อุดรธานี เป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง และการเลือกตั้งที่ผ่านมา คนเสื้อแดงได้เทคะแนนจำนวนมากให้กับพรรคเพื่อไทย แต่ถูกพรรคเพื่อไทยทรยศหักหลังคนเสื้อแดง กระโดดข้ามขั้วจับมือกับกลุ่มอนุรักษนิยมและคณะรัฐประหารเดิม ถือเป็นการทอดทิ้งอุดมการณ์คนเสื้อแดง ถ้าประเด็นนี้จุดติดขึ้นมา คนเสื้อแดงที่มีอุดมการณ์จริงๆ ไม่ยึดติดกับตัวนายทักษิณและผลประโยชน์ โอกาสที่พรรคประชาชนจะพลิกจากสถานการณ์เป็นรอง กลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ไม่ยาก