พ่อ วัย 44 ปี ชาวตำบลสามขา อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ คาใจรถกระบะซิ่งชนรถ จยย.ลูกชายสาหัสแล้วหลบหนี ก่อนตำรวจตามเจอมาสอบปากคำ แต่ให้การไม่ตรงกับกล้องวงจรปิด วอนตำรวจตรวจสอบอย่างระเอียด หวั่นไม่ใช่คนขับตัวจริง ด้าน ผกก.สภ.กุฉินารายณ์ ระบุ เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามพยานหลักฐาน และให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ตั้ม จตุรงค์ พงษ์ศิริ” โพสต์แชร์รูปภาพและคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด พร้อมระบุข้อความว่า “ตามคันนี้ ค่าตาม 10,000 ใครรู้เบาะแส เคยเห็นผ่านตา รถคันนี้ อยู่บ้านใคร ออลนิว ดีแม็ก ปี 16-18 ตัวสูง หลังคาด้านๆเหมือนหุ้มสติกเกอร์มา ไฟหน้าขวา แตก มีไฟข้างเดียว ฝากระโปรง พะเหย่อขึ้น ฝั่งขวา คือมีรอยชน รถวิ่งออกมาจากพิกัด บ้านสามขา บ้านคุยตอนนี้ น่าจะจอดหลบอยู่ ใครเจอ ชี้เป้ามา โอนให้ทันที 10,000 หรือ ถ้าตามเจอ ก็ให้เลย 10,000 ฝากถึงคนที่ชนลูกกู มามอบซะ จากคุยยากๆจะได้คุยง่ายๆ กูตามเจอเอง มึงเหนื่อยนะบอกเลย กูไม่จบง่ายๆ ลูกกูเจ็บปางตายขนาดนั้น” หลังจากที่โพสต์ถูกเผยแพร่ออกไปก็ได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมากจนมีการแชร์ต่อกันอย่างแพร่หลาย
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวสอบถามนายจตุรงค์ ชาว อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เจ้าของโพสต์ดังกล่าว ได้แสดงรูปภาพและคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ว่า ลูกชายตน อายุ 23 ปี ถูกรถชนเวลาประมาณช่วง 02.00-03.00 น. ของวันที่ 2 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งลูกชายเดินทางจากร้านที่อยู่ในตัวอำเภอกุฉินารายณ์ เพื่อที่จะกลับไปดูหมาที่บ้าน หลังจากแวะซื้อของจากร้านสะดวกซื้อพอไปถึงจุดเกิดเหตุบริเวณถนนทางเข้าบ้านหนองโง้ง ต.กุดค้าว อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ปรากฏว่ามีรถกระบะ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเป็นรถกระบะยี่ห้ออะไร ขับข้ามเลนมาชนรถจักรยานยนต์ลูกชายพังเสียหายแล้วลากรถกับร่างลูกชายไปด้วย
นายจตุรงค์ เผยอีกว่า จากนั้นคนขับก็พยายามขับรถหลบหนีโดยไม่ลงมาให้ความช่วยเหลือ หรือแม้แต่ดูผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด ซึ่งตอนเกิดเหตุตนได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวว่าลูกชายโดนรถชนนอนหายใจรวยรินนอยู่กลางถนนจนมีคนมาเจอแล้วได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากที่ตนเองได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวก็รีบขับรถกลับจากจังหวัดระยอง เพื่อมาดูอาการลูกชายโดยในระหว่างที่เดินทางกลับ ทางแพทย์และพยาบาลได้มีการโทรฯมาแจ้งว่าลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วมีอาการหัวใจหยุดเต้นไป 2 ครั้งแล้วยิ่งทำให้ตนเองกระวนกระวายรู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งได้ไปดูจุดเกิดเหตุพบคราบเลือดอยู่ที่กลางถนน ชิ้นส่วนของรถยนต์ของคู่กรณีและชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของลูกชาย
นายจตุรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับอาการของลูกชายตอนนี้ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ มีอาการตาลอย ตับฉีก ม้ามฉีก ลำไส้ใหญ่ฉีก กัดลิ้นตัวเอง แขนหัก เลือดคั่งในสมองด้านซ้าย ทวารระเบิด ซึ่งตนเห็นสภาพเช่นนั้นก็โมโห เลยได้มีการนำรูปรถกระบะที่ได้จากกล้องวงจรปิดที่หาได้ตามจุดต่างๆ มาโพสต์ลงในกลุ่มต่างๆ เพื่อตามหารถต้องสงสัยที่ขับชนลูกชายตน โดยตั้งรางวัลคนให้เบาะแสดังกล่าว กระทั่งเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 67 ได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.กุฉินารายณ์ อีกทางเพื่อตามหารถต้องสงสัยจนมีพลเมืองดีได้มีการให้ข้อมูลว่าพบรถต้องสงสัยจอดอยู่ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอกุฉินารายณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจยึดรถกระบะคันดังกล่าวมาไว้ที่ สภ.กุฉินารายณ์ และได้พบกับเจ้าของรถ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ อบต.แห่งหนึ่ง และชายอีกคนที่อ้างตัวว่าเป็นคนขับรถชนลูกชายของตนชื่อว่านายเอ้ว ได้เข้ามาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนจึงเดินเข้าไปถามกลับพบว่านายเอ้ว ซึ่งให้การรับสารภาพว่าเป็นคนขับรถกระบะคันชนลูกชายตน
โดยตนได้สอบถามนายเอ้วว่าในวันเกิดเหตุได้ขับรถไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร เพื่อที่จะดูว่าเขาจะตอบตรงกับหลักฐานกล้องวงจรปิดที่ตนเองไปไล่ดูมาหรือไม่ แต่ปรากฏว่านายเอ้วตอบไม่ตรงประเด็น และตอบไม่ตรงกับหลักฐานของวงจรปิด จึงทำให้ตนเกิดความสงสัยว่า นายเอ้วขับรถชนจริงหรือไม่ เพราะพบพิรุธหลายๆ อย่างจากคำตอบที่ได้ ตนจึงอยากมาเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านสื่อเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.เมธาพงษ์ บุญศรี ผกก.สภ.กุฉินารายณ์ ระบุว่า หลังเกิดเหตุ ร.ต.อ.ประมวล ตรีเดช รอง สว.(สอบสวน) สภ.กุฉินารายณ์ เจ้าของคดีได้มีการแจ้งข้อหากับนายเอ้ว ขับขี่รถโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ขับรถเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี หลังจากนั้นมีการปล่อยตัวคนขับรถกระบะคันดังกล่าวไป เพราะไม่มีพฤติกรรมหลบหนี และมีที่ทำงานเป็นหลักแหล่ง ในส่วนของการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต้องรอเรียกมาสอบปากคำเพิ่มอีกครั้ง รวมถึงต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เรื่องการไกล่เกลี่ยชดเชยค่าเสียหายยังตกลงกันไม่ได้เพราะผู้ได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี แต่เบื้องต้นได้เชิญผู้เสียหายกับคู่กรณีมาพูดคุยกันแล้วในเบื้องต้นแต่ยังไม่มีข้อสรุป ในส่วนของคดีอาญาก็ต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ตำรวจจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย และจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป