เมื่อวันที่ 21 พ.ย. จากกรณีที่ พล.ต.ท.ดาโต๊ะ มูฮัมหมัดยูโซฟ บินมามะ ผู้บัญชาการตำรวจรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ได้แถลงการณ์การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดสำหรับการเดินทางเข้าออก ระหว่างไทยกับมาเลเซียอย่างผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งจะเริ่มกวดขันจับกุมในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่จะถึงนี้

โดยได้ระบุว่าทางการมาเลเซียจะมีมาตรการตรวจสอบเส้นทางตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด ทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมาเลเซียที่เดินทางเข้าไปประเทศไทย ที่ข้ามไปมาตามท่าเรือผิดกฎหมาย เมื่อข้ามไปแล้วกลับเข้ามา หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบให้จับกุมทันที การเดินทางเข้าออกประเทศไทยกับมาเลเซีย ขอให้ใช้บอเดอร์พาสหรือพาสปอร์ตเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการนำสิ่งเสพติดหรืออาวุธต่างๆ กลับไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกจับกุมปรับเป็นเงินในวงเงินต่อรายคนละ 10,000 ริงกิต หรือเปรียบเงินไทย ประมาณ 77,607 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเรื่องดังกล่าวขยายผลมาจาก นางสาววันโนรซาฮีดาอัชลิน บินตี วันอิสมาอีล นักร้องดังมาเลเซียขวัญใจวัยรุ่น เจ้าของผลงานเพลงแบซอบาซอ หรือแปลเป็นไทยว่า ใจเย็นๆ ที่ถูกจับกุมพร้อมพวก 6 คนและยาบ้า จำนวน 6,060 เม็ด ที่ห้องพักโรงแรมเก็นติ้ง อ.สุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ประเทศมาเลเซียเสียชื่อเสียง

จากการเดินทางเข้าไปตระเวนตรวจสอบที่เมืองรันตูปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ในช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยได้เดินทางข้ามฟากไปยังรัฐกลันตัน ด้วยเรือยนต์รับจ้างข้ามฟากท่าประปา ซึ่งเป็นท่าข้ามจุดผ่อนปรน เพื่อตระเวนตรวจสอบก่อนที่ทางการมาเลเซียจะบังคับใช้กฎหมาย พบว่า ที่บริเวณท่าข้ามฟากตรงกันข้ามกับจุดผ่อนปรนซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับท่าเรือข้ามฟากของไทย 7 ท่า เจ้าหน้าที่ทหารกองพลทหารราบกองทัพบก มาเลเซีย ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ที่ถูกส่งตัวมาปฏิบัติหน้าที่ตามช่องทางข้ามตรงกันข้ามกับจุดผ่อนปรนไทย ได้นำป้ายประกาศของทางการประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นภาษายาวีและแปลเป็นภาษาไทย ไปติดตั้งไว้ที่บริเวณท่าข้ามทั้ง 7 ท่า ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับท่าเรือข้ามฟากของไทย มีใจความว่า บุคคลใดก็ตามที่เข้าออก จากชายแดนมาเลเซีย ประเทศไทย ผ่านประตูที่ไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กระทำความผิดภายใต้มาตรา 5 (2) ของพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ปี 1959/1963 อาจถูกจับกุมและอาจถูกปรับสูงสุด RM 10,000.00 หรือจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ   

ด้าน น.ส.ซีตีอัยซะห์ ดือราซอ แม่ค้าร้านขายยำร้านขายน้ำ ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก ตรงท่าประปา อยากจะขอให้ทางหน่วยงานหลักช่วยมาดูแลและเข้ามาพูดคุย เพื่อให้มาเปิดท่าให้เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะเปิดเป็นช่วงๆ ก็ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่แม่ค้าจะอาศัยลูกค้าที่เป็นชาวมาเลเซีย ที่ช่วยกันอุดหนุนมาซื้อและมารับประทานแถวนี้

น.ส.ซาวาตี หะมะ แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ชุมชนท่าประปา กล่าวว่า ตอนนี้ลูกเรียนหนังสืออยู่ที่มาเลเซีย 2 คน อยู่ ม.1 กับ ม.2 ซึ่งเรียนตั้งแต่เด็ก คือถ้าปิดด่านธรรมชาติก็กังวลหลายอย่างทั้งเรื่องการเดินทางของลูกที่จะไปมาลำบากและการขายของที่คนมาเลเซียจะเข้ามาไม่ได้ ปกติลูกค้าจะมีทั้งคนมาเลเซียและคนไทย โดยปกติแล้วจะขายได้ 3,000 ถ้วยต่อวัน ซึ่ง ณ วันนี้ไม่ค่อยมีคนตั้งแต่มีการประกาศว่าจะปิด

รายงานข่าวจากแหล่งข่าวรายหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงประเทศมาเลเซีย เปิดเผยเป็นการส่วนตัวว่า การที่ทางการประเทศมาเลเซียออกมาตรการเข้มงวดในครั้งนี้ มีด้วยกันหลายประเด็น ซึ่ง 1 ในนั้นคือ การป้องกันการลักลอบยาเสพเข้าประเทศมาเลเซีย และที่สำคัญทางการประเทศมาเลเซียหาโอกาสออกมาตรการมานานแล้ว คือ เป็นการป้องกันชาวมาเลเซียนำเม็ดเงินมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่ประเทศมาเลเซียต้องสูญเสียรายได้มหาศาลในแต่ละปี ซึ่งการออกมาตรการในครั้งนี้ ถือว่าทางการประเทศไทยโดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคง ที่ปฏิบัติหน้าที่แนวชายแดน ไม่ต้องทำงานหนักเพราะประเทศมาเลเซียออกมาตรการ ไม่ต้องกวดขันการหลบหนีเข้าเมือง การระบาดของยาเสพติด รวมทั้งเป็นการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ประการสำคัญสามารถสกัดกั้นกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุการณ์ร้ายฝั่งไทย แล้วหลบหนีไปกบดานประเทศมาเลเซีย