เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางมายื่นคำร้องขอฝากขัง นายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล อายุ 41 ปี กับพวกรวม 18 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชนดิไอคอน ครั้งที่ 4 โดยคำร้องฝากขังครั้งนี้ได้มีการแนบคำร้องแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาเพิ่มเติมมาด้วย โดยสรุปพฤติการณ์ว่า

ข้อ 1.ตามคำร้องฝากขังครั้งที่ 3 ลงวันที่ 8 พ.ย.2567 ของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งศาลอาญาได้อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหานี้ไว้ในระหว่างการสอบสวนมีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.-22 พ.ย.2567

ข้อ 2.คดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับหนังสือเรื่อง “ส่งสำนวนการสอบสวนกรณีมีการร้องทุกข์กล่าวโทษในการกระทำความผิดอาญาอันเป็นคดีพิเศษ” มาพร้อมสำนวนการสอบสวนคดีอาญาจำนวน 92,289 แผ่น กรณีดำเนินคดีกับบริษัท ดีไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก มาให้พิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขการรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้เสนอเรื่องเข้าการประชุมคณะกรรมการกลั่นกลองการรับคดีพิเศษ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ และได้มีมติในที่ประชุม ลงวันที่ 29 ต.ค.2567

โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่ากรณีดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

เป็นการร่วมกันกระทำผิดที่มีลักษณะเป็นกลุ่มขบวนการมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบ คดีมีความยุ่งยากสลับซับช้อน ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างทั่วราชอาณาจักร โดยมีประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเชิงเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างอันมีลักษณะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ ประกอบกับความผิดดังกล่าวเป็นความผิดตามประกาศบัญชีท้ายประกาศ กคพ.(ฉบับที่ 8) เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ ข้อ 1, 15 จึงเห็นควรเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีคำสั่งให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษและมอบกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการสอบสวน

ต่อมาวันที่ 30 ต.ค.2567 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อนุมัติให้เป็นคดีพิเศษ จึงได้รับไว้เป็น คดีพิเศษที่ 119/2567 และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวน ต่อมา วันที่ 4 พ.ย.2567 โดยนำข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทำการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว มาพิจารณาประกอบกับคำให้การของนายณัชภัทร ขาวแก้ว ผู้กล่าวหา และนายทิวนารถ ดำรงยุทธ พยานเจ้าหน้าที่ เห็นว่าบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามกฎหมายมีวัตถุประสงค์หลักคือ การหากำไรจากการประกอบธุรกิจ “ตลาดแบบตรง” ที่ต้องจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ จำนวน 15 รายการ จากบริษัทฯ ตรงไปยังผู้บริโภคผ่านระบบออนไลน์

แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการสืบสวนสอบสวน ในชั้นนี้รับฟังได้ความว่า บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก ใช้มีการโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชนหรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ปรากฏกับบุคคลตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ด้วยการโฆษณาบน facebook ของบริษัทหรือของสมาชิก เพื่อชักชวนประชาชนทั่วไปเข้าเรียนหลักสูตรอบรมออนไลน์ที่บริษัทจัดขึ้น

รวมถึงการสัมมนา หรือการบอกกล่าวปากต่อปากนำไปสู่การเชิญชวนบุคคลดังกล่าวเข้าร่วมธุรกิจเป็นตัวแทนขายสินค้าให้กับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ด้วยการเปิดรับเข้าเป็นสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าของบริษัทไปจำหน่ายต่อ โดยมีการให้สัญญาว่าจะจ่ายหรืออาจจ่ายผลตอบแทนตามแผนธุรกิจที่กำหนด จึงเป็นการ “กู้ยืมเงิน” โดยมี บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด เป็น “ผู้กู้ยืมเงิน” และมีผู้สมัครเป็นสมาชิกในการร่วมธุรกิจเป็นตัวแทนขายสินค้า เป็น “ผู้ให้กู้ยืมเงิน” ตามนิยามในมาตรา 3 ของ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ และในการดำเนินธุรกิจเน้นการระดมสมาชิกเข้ามาเป็นเครือข่ายในระดับต่างๆ โดยเฉพาะระดับ dealer โดยจูงใจด้วยผลตอบแทนที่สูงประกอบกับผลตอบแทนในการประกอบธุรกิจในระดับ dealer get dealer ขั้นต่าง ๆ มีผลตอบแทนเมื่อคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยแล้วพบว่ามีอัตราสูงมาก ตั้งแต่ร้อยละ 48-480 ต่อปี

ทั้งที่ช่วงเกิดเหตุในคดีนี้ อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินสูงเพียงร้อยละ 4 ต่อปี จึงเป็นผลตอบแทนที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงว่าที่ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ มาตรา 4 วรรคหนึ่ง กำหนดไว้

นอกจากนั้น ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ต้องมีรายได้จากการขายสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรงตามรูปแบบธุรกิจที่จดทะเบียนไว้ แต่ในข้อเท็จจริงการดำเนินธุรกิจกลับไม่เน้นให้สมาชิกจำหน่ายสินค้าออกสู่ผู้บริโภค โดยในการชักชวนสัมมนา จะเน้นให้สมาชิกหาเครือข่ายสมาชิกของตน (Downline) เพื่อขายสินค้าจากตนลงไปภายในเครือข่ายจนถึงระดับล่างสุดเป็นหลัก ที่อาจมีบางรายที่นำสินค้าไปขายจริงบางส่วนเท่านั้น โดยรายได้ของบริษัทที่นำไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนสมาชิกในระดับต่างๆ โดยเฉพาะ dealer ค่าตอบแทนที่เกิดขึ้นมาจากเงินส่วนแบ่งที่ได้จากสมาชิกระดับล่างในสายงานของตนลงไป ทั้งในรูปแบบค่าชักชวน และหรือค่า tp เป็นองค์ประกอบสำคัญ

นอกจากนั้นระบบของบริษัทก็ไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไป สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทไปบริโภคได้โดยตรง โดยต้องดำเนินการผ่านเครือข่ายสมาชิก และยังได้ปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ ไม่ได้มีรายได้หลักจากการประกอบธุรกิจด้วยการขายสินค้าสู่ผู้บริโภคที่เพียงพอและเป็นธุรกิจที่มิชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นกรณีที่บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ในฐานะผู้กู้ยืมเงิน รู้หรือควรรู้ว่าในการประกอบธุรกิจ ตนจะนำเงินจากผู้ลงทุนรายหนึ่งมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ลงทุนอีกรายหนึ่ง และรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สามารถประกอบกิจการใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเพียงพอที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ ประกอบกับตามข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แจ้งข้อหามาแล้วนั้น แม้ผู้ต้องหาทั้งหมดจะไม่ได้ทำความผิดครบตามองค์ประกอบทุกคน แต่มีข้อเท็จจริงสนับสนุนว่ามีการร่วมกันกระทำการในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ เหตุเกิดที่ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักร

จึงมีมติเอกฉันให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหานี้ ในความผิดฐานดังกล่าว และเปลี่ยนลำดับผู้ต้องหาตามลำดับความสำคัญของพฤติการณ์ในคดี ดังนี้

1.บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดย นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้มีอำนาจดำเนินการแทนนิติบุคคล (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 18) เป็นผู้ต้องหาที่ 1
2.นายวรัตน์พล หรือ บอสพอล วรัทย์วรกุล (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 19) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 2
3.นายจิระวัฒน์ หรือ บอสแล็ป แสงภักดี (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 1) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 3
4.นายกลด หรือ บอสปีเตอร์ เศรษฐนันท์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 2) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 4
5.นางสาวปัญจรัศม์ หรือ บอสปัน กนกรักษ์ธนพร (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 3) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 5

6.นายฐานานนท์ หรือ บอสหมอเอก หิรัญไชยวรรณ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 4) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 6
7.นางสาวนัฐปสรณ์ หรือ บอสสวย ฉัตรธนสรณ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 5) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 7
8.นางสาวญาสิกัญจณ์ หรือ บอสโซดา เอกชิสนุพงศ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 6) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 8
9.นายนันท์ธรัฐ หรือ บอสโอม เชาวนปรีชา (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 7) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 9
10.นายธวิณทร์ภัส หรือ บอสวิน ภูพัฒนรินทร์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 8) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 10

11.นางสาวกนกธร หรือ บอสแม่หญิง ปูรณะสุคนธ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 9) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 11
12.นางสาวเสาวภา หรือ บอสอูมมี่ วงษ์สาชา (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 10) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 12
13.นายเชษฐ์ณภัฏ หรือ บอสทอมมี่ อภิพัฒนกานต์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 11) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 13
14.นายหัสยานนท์ หรือ บอสป๊อป เอกชิสนุพงศ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 12) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 14
15.นางสาววิไลลักษณ์ หรือ บอสจอย ยาวิชัย หรือเจ็งสุวรรณ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 13)เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 15

16.นายธนะโรจน์ หรือ บอสอ็อฟ ธิติจริยาวัชร์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 14) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 16
17.นายยุรนันท์ หรือ บอสแซม ภมรมนตรี (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 15) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 17
18.นางสาวพีชญา หรือ บอสมีน วัฒนามนตรี (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 16) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 18
19.นายกันต์ หรือ บอสกันต์ กันตถาวร (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 17) เปลี่ยนเป็น ผู้ต้องหาที่ 19

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหาและฐานความผิดเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาทุกรายให้ทราบว่า “ร่วมกันกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต” ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

โดยผู้ต้องหาที่ 2 ขอให้การเป็นหนังสือภายใน 15 วัน นับแต่วันที่รับทราบข้อกล่าวหา การกระทำของผู้ต้องหา เป็นความผิดตามความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ ซึ่งมีอัตราโทษ ตามมาตรา 12 ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 5-10 ปีและปรับตั้งแต่ 5 แสน-1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่, พ.ร.บ.ขายตรงฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 19, 20 ซึ่งมีอัตราโทษตามมาตรา 46 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีและปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และมาตรา 47 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91

บัดนี้จะครบกำหนดเวลาฝากขังครั้งที่ 3 ในวันที่ 22 พ.ย.2567 สำหรับผู้ต้องหาที่ 19 (เดิม) ซึ่งเรียงลำดับใหม่เป็นผู้ต้องหาที่ 2 หากแต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น จะต้องทำการสอบปากคำพยาน จำนวน 4,500 ปาก, พยานฝ่ายผู้ต้องหา จำนวน 400 ปาก ต้องรอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารต่าง ๆ, รอผลการตรวจสอบจากศูนย์ชื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและการวิเคราะห์, รอการตรวจสอบเอกสารที่ได้ทำการยึดไว้, ตรวจสอบเอกสารและวัตถุของกลางของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการสอบสวนกลาง และรอผลการตรวจวัตถุพยานทางอิเล็กทรอนิกส์ของกลาง ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวจึงขออนุญาตศาลให้ฝากขังผู้ต้องหานี้ไว้ระหว่างการสอบสวนต่ออีก 12 วัน นับแต่วันที่ 23 พ.ย.-4 ธ.ค.2567

ท้ายคำร้องระบุว่าหากผู้ต้องหาขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง ประกอบกับมีผู้เสียหายจำนวนเบื้องต้นประมาณ 9,000 ราย มีมูลค่าความเสียหายถึงจำนวน 2,956,274,931 บาท ซึ่งผู้ต้องหาอาจหลบหนีได้หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีที่พนักงานสอบสวนมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมซึ่งเป็นข้อหาที่มีอัตราโทษถึง 10 ปีและศาลอนุญาตฝากขังในข้อหาดังกล่าวแล้วจะทำให้สามารถยื่นฝากขังผู้ต้องหาได้ 7 ครั้ง (84 วัน) จากเดิมที่สามารถยื่นฝากขังได้ 4 ครั้ง (48 วัน)