เมื่อวันที่ 24 พ.ย. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจาก นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือ “ทนายสายหยุด” ทนายความผู้ได้รับการมอบหมายจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” ให้รับผิดชอบดูแลคดีฉ้อโกง “มาดามอ้อย” หรือ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ จำนวน 71 ล้านบาท ภายหลังจากมีกระแสข่าวเตรียมไขก๊อกถอนตัวจากการเป็นทนายความคู่ใจให้นายษิทรา ว่า เบื้องต้นในวันพรุ่งนี้ เวลา 08.00 น. ตนจะเดินทางเข้าไปตีเยี่ยมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อหารือในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ตนได้หารือกับทีมงานแล้วพบว่ามีข้อเท็จจริงหลายอย่างที่นายษิทราได้ให้ไว้เริ่มไม่ตรง ตนจึงต้องเข้าไปหารือกับเจ้าตัวเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ทราบว่าสิ่งใดจริงหรือไม่จริงกันแน่ โดยเฉพาะกรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งตนจะต้องคุยกับนายษิทราให้ทราบ ถึงแนวทางการทำคดีของตน ถ้าจะให้ตนทำต่อ นายษิทราก็ต้องรับสารภาพและวางเงินคืนเขาในส่วนที่ผิด ส่วนที่มันไม่ผิดก็คือไม่ผิด
เมื่อถามว่าหากพรุ่งนี้ นายษิทรา ยอมรับสารภาพเพื่อเหตุบรรเทาโทษ ทนายสายหยุดจะยังรับทำคดีต่อให้ได้หรือไม่ ทนายสายหยุด ปฏิเสธว่า ไม่รับทำ คงจะให้คนอื่นมาทำแทน เพราะที่ตนได้คุยกับ นายษิทรา มาหลายหน มั่นใจว่าเขาไม่สารภาพแน่นอน และก็เหมือนที่ ทนายอาคม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ เขามีการสู้หัวชนฝา ไม่สำนึก ไม่เอาอะไรทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้ตนจะเข้าไปพูดคุยกับ นายษิทรา ให้เรียบร้อย ให้เป็นไปตามจรรยาบรรณ แล้วค่อยออกมาพูดกับสาธารณชน
ต่อข้อถามว่า หากทนายสายหยุดมีการถอนตัวจริง แล้วใครจะมารับผิดชอบดูแลคดีให้ นายษิทรา นั้น ทนายสายหยุด อธิบายว่า ในสำนักงานของเขาก็มี เพื่อนเขาก็มี ซึ่งไม่ได้มีแค่ตนคนเดียว แต่เพียงแค่เขาเลือกให้ตนทำตั้งแต่ต้น เพราะเขารู้ว่าตนเป็นนักสู้ แต่เมื่อถึงเวลานี้ตนรู้สึกว่าไม่ไหวจริง ๆ เสียชื่อเสียง รับแรงกระแทกทุกวัน เรื่องใดเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็เสียหายไปหมด แล้วยิ่งเขาไม่บอกความจริงกับเรา เราก็ยิ่งเสียหาย
ทั้งนี้ การเตรียมพิจารณาถอนตัวรับทำคดีให้นายษิทราในวันพรุ่งนี้ ตนไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารเลิกจ้าง/ยกเลิกการเป็นทนายความ เพราะตนยังไม่ได้ใช้เอกสารแต่งตั้งการเป็นทนายความในชั้นศาล เพราะยังเป็นเพียงการฝากขัง ยังไม่ได้มีขั้นตอนทางคดีชั้นศาล แม้โดยพฤตินัยทราบกันว่าเป็นทนายให้ษิทรา แต่ในทางกฎหมายตนยังไม่ได้ยื่นใบแต่งที่ศาล ปัจจุบันนี้จึงเป็นเพียงการเข้าตีเยี่ยมในส่วนของงานราชทัณฑ์ ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมในฐานะทนายความเท่านั้น
ทนายสายหยุด เผยอีกว่า ส่วนเรื่องบ้านเรื่องรถยนต์ตนไม่ได้รับผิดชอบดูแล แต่ก็โอเค เพราะเรื่องใบเสร็จมันไม่ได้มีปัญหา และเรื่องจ้างวาดแบบโรงแรมก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะเขาเป็นคนคิดมาเองว่าเขาจะทำงาน แต่เรื่อง 71 ล้านและ 39 ล้านจะไปยังไง เพราะในเรื่องเงิน 71 ล้านบาทกรณีทำแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ มันมีประเด็นในเรื่องฉบับสัญญาเรื่องเอกสารจำนวนมาก และตนมีเพียงเอกสารร่างสัญญา แต่ทีนี้ตนได้ความจากตำรวจกองปราบฯ ว่าที่ได้ไปตรวจค้นที่สำนักงานกฎหมายของนายษิทรา พบว่ามีการแก้ไขไปแล้ว 2-3 ร่างตามที่เจ้าหน้าที่กู้มาได้ ซึ่งฉบับที่ตนถืออยู่จะเป็นตัวจริงหรือไม่ ก็ไม่ทราบได้ เพราะมันไม่ใช่คู่ฉบับที่มีการสำเนาเหมือนที่อาจารย์ปานเทพมี ซึ่งจนถึงวันนี้ตนยังไม่ได้มีการยื่นเอกสารใด ๆ ให้กับพนักงานสอบสวน เพราะถ้ายื่นไปแล้วมันไม่ตรงกับที่พวกเขามี ก็อาจจะเป็นเอกสารปลอมได้ จึงย้ำว่าตนไม่ได้แก้ไขดัดแปลงเอกสารอะไรทั้งสิ้นและยังไม่ได้ยื่นเอกสารกับพนักงานสอบสวน
สำหรับเรื่องเงิน 39 ล้านบาทนั้น ทนายสายหยุด ระบุว่า ทางนายษิทราก็บอกแค่ว่าไม่ได้ไปเอาเงินเขามาเลย แต่ทางคนขับรถของนายษิทรากลับบอกว่าได้มา 20 ล้านบาท เช่นนี้คืออะไร นี่จึงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายว่าตนต้องคุยกับนายษิทราว่าสรุปแล้วทั้งหมดความจริงคืออะไร ตนมองว่าแบบนี้มันไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วตนจะทำงานให้ได้อย่างไร เพราะข้อเท็จจริงตนไม่ได้ยินจากปากของนายษิทรา แต่กลับได้ยินจากคนอื่น
และที่เซอร์ไพร้ส์กว่า คือ กรณีของพี่สาวภรรยาของนายษิทรา ที่บอกชัดเจนเลยว่าเป็นคนรับเงินส่วนนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการหลอกตนหรือไม่ แล้วจะให้ตนมารับหน้าแทนได้อย่างไร เพราะตนเป็นทนายความ ถ้าข้อเท็จจริงมันตรง ตนสู้ให้อยู่แล้ว ดังนั้น ขนาดข้อเท็จจริงที่ตนมั่นใจยังถูกด่า แล้วถ้าข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนั้น ตนจะไม่ถูกด่าได้อย่างไร นอกจากนี้ ตนก็มีนโยบายให้ นายษิทรา ว่าถ้าจะสู้คดีก็สู้ไป ตนไม่ได้ห้าม แต่ใจของตน คือ ถ้าจะสู้ก็สู้เพื่อพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ฉ้อโกง แต่ในทางแพ่งทางฝั่งคู่กรณีอ้างว่ายืมเงินเขาและเขาไม่ได้ ดังนั้น ในทางแพ่งก็ควรวางคืนเขาไป แต่ทางนี้ก็ไม่วาง
เมื่อถามว่าพรุ่งนี้หากเข้าไปคุยกับนายษิทรา เพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าว จะเป็นการเหมือนแตกหักทางความสัมพันธ์เลยหรือไม่ ทนายสายหยุด ย้ำว่า อย่างไรก็ต้องคุยกันกับนายษิทรา เพื่อที่จะได้อัปเดตความคืบหน้ากับลูกความ อีกทั้งฝั่งทางคู่กรณีก็มีพยานหลักฐานเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าลูกความของตนมีการทำอะไรบ้าง แต่ตนกลับไม่รู้เรื่องเขาเลย ทั้งเรื่องพินัยกรรม เรื่องการติดตั้งระบบ GPS บนรถเบนซ์ เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อเยี่ยมนายษิทรา ที่เรือนจำฯ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นตนจะรีบเดินทางไปที่ห้องส่งรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เพื่อแถลงรายละเอียด และจะได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนพร้อมเพรียงกันต่อไป.