ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงแรมริเวอร์ตัน จ.สมุทรสงคราม นายสัมพันธ์ พงษ์พรรณากูล เจ้าของโรงแรมริเวอร์ตัน และศูนย์ธรรมชาติบำบัดเวลเนสแคร์ โดย นพ.สมเกียรติ อัครศรีประไพ แพทย์ประจำศูนย์ธรรมชาติบำบัดเวลเนสแคร์ ได้จัดบรรยายในหัวข้อ “ความรู้เชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับโรคมะเร็งและโรคไต” พร้อมให้บริการปรึกษาปัญหาสุขภาพโดยวิถีธรรมชาติประยุกต์ โดย นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ เป็นวิทยากรให้ความรู้เชิงปฏิบัติการ รอบเช้าบรรยาย “หัวข้อปฏิบัติการเกี่ยวกับโรคมะเร็ง” ส่วนรอบบ่าย “หัวข้อปฏิบัติการเกี่ยวกับโรคไตเสื่อม” พร้อมให้โอกาสผู้สนใจที่เข้ารับฟังประมาณ 200 คนถาม – ตอบ ปัญหาสุขภาพอีกด้วย

นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ให้ความรู้สรุปว่าใน 1 ปีทั่วประเทศมีคนไทยเป็นโรคมะเร็ง 140,000 คน เฉลี่ยสถิติจากหลายปีพบว่ามีแต่เพิ่มขึ้น อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 83,000 คนซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก โดยคนที่เป็นมะเร็งจะเสียชีวิตมากกว่า 60% แม้การแพทย์จะเจริญขึ้น แต่อัตราเสียชีวิตไม่ได้ลดลง เนื่องจากสิ่งที่ขาดหายไปจากการรักษา คือความรู้ที่ถูกต้องทั้งก่อนการรักษา ก่อนการผ่าตัด ก่อนการตัดชิ้นเนื้อ ระหว่างการผ่าตัด หลังการผ่าตัด และการใช้ชีวิตหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงใช้ความรู้ที่ไม่ได้พัฒนาแถมไปในทิศทางที่ผิดก็มีความเสี่ยงที่จะไม่หายขาด

จากการเก็บสถิติจนเป็นองค์ความรู้โดยวิถีธรรมชาติประยุกต์เพื่อสร้างโอกาสในการลดผู้เสียชีวิตจากมะเร็ง นพ.บุญชัยฯ ได้แนะนำวิธีดูแลตัวเองว่า มะเร็งนั้นมาจากปัจจัยสำคัญๆ เช่น มลพิษจากสิ่งแวดล้อม มลพิษในอาหารและมลพิษจากชั้นโอโซนที่ปกคลุมโลกมีช่องโหว่ สำหรับคนป่วยโรคมะเร็งหรือคนปกติที่ยังไม่ป่วยเป็นมะเร็งก็ต้องมีวิธีการดูแลตนเอง เช่นปกป้องตนเองจากมลภาวะและมลพิษ รับแสงแดดปลอดภัยได้ในช่วงเช้าถึง 9 โมงเช้าและช่วงเย็นตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึงหัวค่ำ นอกนั้นควรหลีกเลี่ยงสัมผัสโดยตรงแต่หากจำเป็นต้องทากันแดด ใส่เสื้อแขนยาวและสวมหมวกป้องกันแสงแดดที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ส่วนอาหารควรหลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่งเพื่อลดสารพิษเข้าสู่ร่างกายให้น้อยที่สุด ปลูกผักปลอดสารพิษทานเองที่บ้านได้ก็จะดีหากสะดวก หรือหากไม่สะดวกต้องล้างผักด้วยสารปลอดภัย นอกจากนี้ยังควรสร้างสมดุลร่างกายด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะเป็นตัวลดภูมิคุ้มกันให้ต่ำลง พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่มเพราะหลัง 4 ทุ่มนาฬิกาชีวิตคนเราจะเข้าสู่ช่วงฟื้นฟูเพื่อสุขภาพที่ดี และไม่ควรนอนดึกโดยไม่จำเป็น แต่หากจำเป็นต้องหาเวลานอนชดเชยให้เพียงพอ

อย่างไรก็ตามการรักษามะเร็งที่ดีคือการใช้วิธีประยุกต์ร่วมกับด้านการแพทย์และวิธีธรรมชาติ หลักการคือลดของเสียจากร่างกายและจิตใจ ถ่ายเทลดของเสียจากลำไส้ที่เป็นน้ำเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ส่วนการรับประทานอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสมจะแนะนำเรื่องการทานโปรตีนที่มีความสำคัญทั้งผู้ป่วยมะเร็งและผู้ที่ต้องการจะป้องกัน ควรงดเนื้อสัตว์ใหญ่ ให้ทานเนื้อสัตว์เล็ก สัตว์น้ำ และสัตว์ปีก เช่นไก่ เป็ด ปลา กุ้ง หรือโปรตีนจากถั่วเหลือง เต้าหู้ หรือเห็ดแทนนมผงหรือนมทุกชนิด ชีส หรือขนมที่ส่วนผสมของชีสทุกชนิด

ที่สำคัญมากคืออย่าปล่อยให้ตัวเองท้องผูกเพราะเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดีพยายามทำให้ร่างกายขับถ่ายปกติด้วยการเน้นรับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผักใบเขียว ปัจจุบันก็มีนวัตกรรมทางการแพทย์ในการล้างพิษและบำบัดเรื่องท้องผูกแล้ว ส่วนขนมหวาน อาหาร และเครื่องดื่มที่มีรสหวานและมีน้ำตาลสูง ไขมันทรานส์ ผลไม้สุกหรือผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงในผู้ป่วยมะเร็งควรงด ส่วนผู้ที่ไม่อยากป่วยก็ควรลดและกินแต่พอดี สำหรับแป้งทานได้ เช่นข้าว หรือเผือกให้ทานในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดร้อนเพราะไม่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ปรุงอาหารไม่เหม็นหืน ราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังควรลดภาวะความเสี่ยงของสุขภาพด้วยการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์หรือสารที่ทำลายสุขภาพโดยเฉพาะผู้ที่เป็นมะเร็งควรงดทั้งหมด

เช่นเดียวกับภาวะไตเสื่อม ต้องกินตามไต ไม่กินตามใจ ในส่วนของโปรตีนคือหลักการเดียวกันกับการทานโปรตีนในสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กล่าวมาข้างต้น โดยควรกินโปรตีนตามระดับความเสื่อมของไต (eGFR) เช่น ระดับ 1 คือคนปกติยังไม่ป่วย กินโปรตีนชั่งน้ำหนักแบบของสดคือ 5 ขีดต่อวัน ไตเสื่อมระดับ 2 (เริ่มเสื่อม) ลดเหลือ 4 ขีดต่อวัน ระดับ 3 (เสื่อมปานกลาง) ลดเหลือ 3 ขีดต่อวัน ระดับ 4 (ไตเสื่อมรุนแรง) กินได้ 2 ขีดต่อวัน และระดับ 5 ( ภาวะไตวาย) น้อยกว่า 2 ขีดต่อวัน

ทั้งนี้การกินอาหารรสปกติมีเปรี้ยวหวานเค็มสามารถทำได้แต่ต้องไม่รสจัดมากเกินไป ส่วนน้ำแกงทานได้ แต่ควรทานอาหารให้หลากหลายผลัดเปลี่ยนไปทุกวัน อย่าทานอาหารประเภทแกงหรือซุปต่อเนื่องทุกมื้อเนื่องจากปริมาณเกลือจากน้ำปลาหรือเครื่องปรุงรสจะสะสมเพิ่มปริมาณได้หากรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวทุกวัน เกลือต้องทานในปริมาณที่น้อยและต้องทานให้สมดุล ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงไตเสื่อมได้แก่ ผู้ที่รับประทานอาหารรสเค็มจัด ผู้ที่มีอารมณ์เครียด ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หลอดเลือดสมองและบริเวณอื่นๆที่มีอาการตีบตัน ผู้ที่เป็นโรคนิ่วหรือโรคอื่นๆในระบบทางเดินปัสสาวะมีประวัติครอบครัวเป็นโรคไตเสื่อม และผู้สูงอายุ