สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุมที่คาซัคสถาน ว่าการที่กองทัพรัสเซียปฏิบัติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานครั้งใหม่ ทั่วยูเครน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นผลจากการที่รัฐบาลเคียฟ ยังคงใช้ระบบขีปนาวุธพิสัยไกล “อะแทคซิมส์” ของสหรัฐ และอาวุธอีกหลายชนิดของตะวันตก ในการโจมตีข้ามพรมแดนมายังรัสเซีย


ทั้งนี้ ปูตินกล่าวว่า กองทัพรัสเซียใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนมากกว่า 100 ลำ และขีปนาวุธอีกมากกว่า 90 ลูก โจมตีเป้าหมาย 117 แห่ง ซึ่งถือได้ว่า แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ผู้นำรัสเซียเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ด้วยตัวเอง


ขณะเดียวกัน ปูตินกล่าวว่า รัสเซีย “ทราบดี” ว่ายูเครนได้รับระบบขีปนาวุธพิสัยไกลจากตะวันตกมาแล้วเป็นจำนวนเท่าใด และเก็บไว้ ณ สถานที่แห่งใดบ้าง และกล่าวว่า อาจมีการทดสอบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง หรือขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก “โอเรชนิก” อีก หลังทดสอบครั้งแรก ที่เมืองดนิโปร ทางตอนกลางของยูเครน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว


ทั้งนี้ ผู้นำรัสเซีย “ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้” ว่าเป้าหมายครั้งต่อไปของการทดสอบขีปนาวุธโอเรชนิก อาจรวมถึง ฐานทัพ ค่ายทหาร โรงงานอุตสาหกรรมทหาร และ “ศูนย์ปฏิบัติการของผู้มีอำนาจตัดสินใจ” ในกรุงเคียฟ


ด้านยูเครนรายงานว่า การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานครั้งล่าสุดของรัสเซีย ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่า 1 ล้านคน ใน 14 ภูมิภาค โดยฝั่งตะวันตกได้รับผลกระทบมากที่สุดในรอบนี้


ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ประณามว่า รัสเซียใช้ระเบิดลูกปราย หรือ คลัสเตอร์บอมบ์ ในการโจมตีครั้งนี้ ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งตอกย้ำ “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่พันธมิตรตะวันตกต้องเดินหน้ามอบความสนับสนุนทางทหารให้แก่ยูเครน.

เครดิตภาพ : AFP