จากการลงพื้นที่หาเสียงของ 2 ผู้สมัครนายก อบจ.กำแพงเพชร ที่จัดจะให้มีการลงคะแนนในวันที่เลือกตั้งที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่ประกอบด้วย ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสุนทร รัตนากร อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร และผู้สมัครหมายเลข 2 นายธนานันท์ หล่าวเจริญ อดีตผู้สมัครสมาชิสภาผู้แทนราษฎร พบว่าในวันสุดท้ายของการลงพื้นที่ ต่างเร่งเครื่องเดินสายออกพบปะประชาชน พร้อมชูนโยบายในการพัฒนาบ้านเมืองของจังหวัดกำแพงเพชร ทั้งป้ายประชาสัมพันธ์ตามจุดต่างๆ รถหาเสียง การเดินเท้าเข้าไปเคาะประตูบ้าน หรือสื่อโซเชียล ทั้งสองฝ่ายมีครบทุกรูปแบบ
ขณะที่ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสุนทร รัตนากร อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร ชี้แจงกับประชาชนในการดำเนินการบริหารงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร ตามแผนงานสานงานต่อก่องานใหม่ ตามนโยบาย โดยเฉพาะประสบการณ์ในการทำงานของการเป็นอดีตนายก อบจ.กำแพงเพชร กับชูนโยบายหลักในการทำงาน 3 ประการคือ 1.บริหารงานที่โปร่งใส เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ 2.จัดสรรงบประมาณแบบกระจายทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า ตรวจสอบได้ และ 3.มุ่งพัฒนาจังหวัดแบบมียุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและด้านสาธารณูปโภคต่างๆ พร้อมกับนโยบายหลักในการทำงาน ทั้งเรื่องของการก่อสร้าง ซ่อมแซมถนนลาดยาง ถนนคอนกรีต ที่มีประสิทธิภาพ มีไฟแสงสว่างเพื่อความสะดวกปลอดภัย
พร้อมกับการ ขุดลอกคู คลอง หนอง บึง เพื่อให้มีน้ำเพียงพอในการทำเกษตรและป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง รวมไปถึงในเรื่องของการบริหารเสริมสร้างสุขภาพ สุขอนามัยเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ปลอดโรค ปลอดภัย มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ส่วนด้านส่งเสริมการศึกษาและการกีฬาเด็กและเยาวชนในทุกระดับจะมีอนาคตที่สดใสและอาชีพที่มั่นคง และนโยบายสุดท้ายคือการสนับสนุนองค์กร กลุ่มอาสาสมัครต่างๆ เช่น อสม. อปพร. หน่วยกู้ภัย กลุ่มโคกหนองนาโมเดล กลุ่มอาชีพเกษตรกร กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มสวัสดิการชุมชนต่างๆ ให้มีศักยภาพที่เข้มแข็ง รวมไปถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นครอบครัวอบอุ่น มีความสุขและมีอาชีพที่มั่นคง
ด้าน นายธนานันท์ หล่าวเจริญ คนกำแพงเพชร ผู้ลงสมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ. หมายเลข 2 ที่ลงในนามตัวแทนกลุ่มประชาชน คู่แข่งที่มีประสบการณ์ทางการเมือง ในฐานะผู้สมัครมาหลายสนาม ที่หวังชิงเก้าอี้นายก อบจ. ได้ลงพื้นที่รอบนอก กับการชูโครงสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเริ่มได้ที่กำแพงเพชรบ้านเราก่อน อาสาเข้ามาพัฒนาจังหวัดกับนโยบาย สู่โครงการที่ต่อยอดได้ในอนาคต เพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสาธารณูปโภค ทั้งด้านสาธารณสุขก้าวหน้า ด้วยการเปลี่ยน รพ.สต. ในพื้นที่บริการห่างไกลจากโรงพยาบาลอำเภอ ให้เป็นศูนย์การแพทย์ นำร่อง อำเภอละ 1 แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกของประชาชน ลดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ-จังหวัด ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ เช่น เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ ทันตาภิบาล และจัดให้มีแพทย์ไปประจำสัปดาห์ละ 1 วัน นำระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) มาใช้ใน รพ.สต. ที่พัฒนาเป็นศูนย์การแพทย์ สร้างศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ นำร่องปีละ 1 แห่ง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยในจังหวัดกำแพงเพชร
การบริหารโปร่งใส มีถ่ายทอดสดการประชุมสภา อบจ. ผ่านเว็บไซต์ของ อบจ. ปรับปรุงเว็บไซต์ของ อบจ. ให้มีการอัปเดตข้อมูลให้ทันสมัย ประชาชนเข้าถึงและเข้าใจง่าย ใช้แอปพลิเคชันในการรับเรื่องร้องเรียน หรือแสดงความคิดเห็น ส่วนด้านการเกษตร มีพัฒนาแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน สร้างระบบผันน้ำด้วยไฟฟ้า และโซลาร์เซลล์ สู่พื้นที่การเกษตรฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง สร้างฝ่ายน้ำล้น เพื่อกักนักน้ำไว้ทำการเกษตรหน้าแล้ง ช่วยชะลอความรุนแรงในฤดูน้ำหลาก ด้านการศึกษาก้าวไกล ยกระดับหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียน อบจ.กำแพงเพชร สู่ความเป็นเลิศ ด้านภาษา ดนตรี กีฬา วิชาการ จ้างครูเจ้าของภาษา ทั้งภาษาจีน และภาษาอังกฤษ เสริมทักษะอนาคต สร้างห้องเรียนเทคโนโลยี เสริมทักษะอาชีพระหว่างเรียน จบไปแล้วสามารถประกอบอาชีพได้ตามความสามารถของตนเอง พร้อมการดูแลสวัสดิการของครู อาจารย์ และบุคลากรการท่องเที่ยวสุขใจ และที่เด่นสุดคือ สวนน้ำเกาะเสือ เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดกำแพงเพชร กิจกรรมทางน้ำครบ ระบบการท่องเกี่ยวอัจฉริยะ (Smart Tourism) มีแพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว เรื่องการเดินทาง ระบบขนส่งสาธารณะ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่อื่น ๆ ภายในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจากนโยบายดังกล่าว เป็นการชูนโยบายและแนวทางการทำงานเพื่อแสดง “วิสัยทัศน์” ของการอาสาเข้ามาเป็นผู้นำในการพัฒนาท้องถิ่นระดับจังหวัด ซึ่งก็ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นตัวแทรกซ้อน โดยเฉพาะเครือข่ายวัฒนธรรมทางการเมือง ที่ฝ่ายแรกจะอาศัยฐานเสียงเดิมแห่งค่ายพลังประชารัฐ ส่วนคู่ท้าชิงยังคงเกาะกลุ่มสีส้ม พรรคประชาชน ในฐานะคณะทำงานกลุ่มประชาชน อย่างไรก็ตาม พลังประชาชนจะตัดสินตัวชี้วัดว่าใครจะอยู่หรือไป พรุ่งนี้วันที่ 1 ธันวาคม 2567 รู้ผล.