เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ดร.พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา กรรมการฝ่ายวิชาการ สมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ กล่าวให้ความรู้เกี่ยวกับการทำหัตถการความงาม ตอนหนึ่งระหว่างการแถลงข่าวจัดกิจกรรม “Master of Complication หัตถการความงาม” ซึ่งจัดโดยสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ (Thai Society of Cosmetic Dermatology and Surgery) เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา ว่า ปัจจุบันการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ได้รับความนิยมมาก โดยจัดเป็นสารเติมเต็มที่มีหลายแบบ หลายยี่ห้อ มีความบริสุทธิ์แตกต่างกัน โดยสารเหล่านี้จะช่วยเติมเต็ม แก้ปัญหาผิวหย่อนยาน ปรับรูปหน้า อย่างไรก็ตามสารเหล่านี้เนื่องจากเป็นสารแปลกปลอม จึงต้องการความคล้ายคลึงธรรมชาติของร่างกายที่สุด และต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้ อาทิ ผิวหนังตาย ตาบอด ติดเชื้อ เกิดก้อนแข็งนูนใต้ผิวหนัง ไปจนถึงเกิดปฏิกิริยาทำให้ภูมิคุ้มของร่างกายเกิดการผิดปกติได้ ล่าสุด ปัจจุบันมีความนิยมฉีดสารกระตุ้น สกินบูสเตอร์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
“ปัญหาที่เราพบตอนนี้คือคนไข้ไม่ใช่แค่ฉีดฟิลเลอร์แล้วโอเวอร์ฟิลล์ คือฉีดเยอะไม่มีวันหยุด ฉีดไปเรื่อยๆ เพราะคนไข้มีคอนเซปต์ว่าฉีดฟิลเลอร์เท่ากับสวย ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ฉีดฟิลเลอร์อาจไม่เท่ากับความสวยก็ได้ ถ้าฉีดในปริมาณมากเกินไป ฉีดไม่ถูกที่ ฉีดไม่ถูกจุดก็จะเกิดปัญหาโอเวอร์ฟิลด์ ฉีดแล้วหน้าประหลาด หน้าเปลี่ยน ผิดรูป เบี้ยว ไม่เท่ากัน ตอนนี้พวกสกินบูสเตอร์ก็เกิดปัญหาแบบเดียวกัน ซึ่งเป็นไปทั่วโลก และในเวทีโลกกำลังถกเถียงหาทางออกว่าทำอย่างไรเราจะหลุดพ้นจากผลข้างเคียงนี้ ต้องให้ความรู้กับแพทย์ในการฉีดอยางเหมาะสม เหมาะกับปัญหาของผู้ป่วยแต่ละคน ไม่ฉีดตามเทรนด์จนเกิดใบหน้าประหลาดผิดรูป ไม่สวย” ดร.พญ.อัจจิมา กล่าวและว่า สิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันทำให้วงการความงามของไทยมีมาตรฐาน และลดสิ่งที่ไม่ได้มาตรฐานออกไป

เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ปัญหาฉีดฟิลเลอร์ สารเติมเต็มมากเกินไป มีการรวมฐานข้อมูลเพื่อให้รู้ว่าคนไข้ฉีดมากเกินไปแล้วจะไม่ฉีดเพิ่มอีกหรือไม่ เพราะบางครั้งคนไข้ก็ชอปปิงคลินิกได้ พญ.นลินี สุทธิพิศาล นายกสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องสร้างความตระหนักรู้ในหมู่คนไข้ และหมู่แพทย์ ว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นศิลปะ เป็นธรรมชาติ เรามีเรียนกายวิภาค เรียนรู้ผลิตภัณฑ์ ที่สำคัญคือต้องมีศิลปะในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพปัญหา
ดร.พญ.อัจจิมา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การฉีดที่ไม่ทำให้เกิดโอเวอร์ฟิลด์ คือการฉีดตามกายวิภาคของคนๆ นั้น แล้วทำให้เกิดความเป็นธรรมชาติ เพราะใบหน้าแต่ละคนแตกต่างกัน ปัญหาที่เราต้องแก้ไขก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแพทย์ก็ไม่ควรจะฉีดทุกคนเหมือนกัน ควรเป็นการดูแลปัญหาเฉพาะคน มีปัญหาบกพร่องตรงไหน ก็แก้ตรงนั้นไม่ใช่ฉีดทุกคนเหมือนกัน ดังนั้นการศึกษากายวิภาคศาสตร์จึงจำเป็น ความรู้ของแพทย์จำเป็นมากเพื่อวินิจฉัยถูกต้องก่อนฉีด ฉีดได้ถูกไม่ล้นเกินไป
“คนไข้ พอฉีดแล้วอย่างที่บอกว่า เขามีความคิดว่าฉีดเท่ากับสวย เมื่อไม่สวยเขาก็จะฉีดอีก จะไปหาที่ฉีดเรื่อยๆ เพื่อทำให้เขาถึงจุดที่คิดว่าทำให้เขาสวย แต่จริงๆ จุดที่สวยคือการที่ต้องฉีดให้ถูกจุดที่เป็นปัญหาของคนๆ นั้น” ดร.พญ.อัจจิมา กล่าว

ด้าน นพ.สมิทธิ์ อารยะสกุล กรรมการสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ กล่าวว่า เรื่องของการโฆษณาย้ำว่า ต้องเป็นข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ ทำให้การเสริมความงามของไทยมีมาตรฐานช่วยกันลดส่วนที่ทำไม่ได้มาตรฐานออกไป ถ้าถามว่าสัดส่วน 2 อย่างนี้เป็นอย่างไร ค่อนข้างตอบยาก เพราะความไม่ได้มาตรฐานนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกระบบ ทำให้มีการเก็บสถิติได้ยาก ดังนั้น การแก้ปัญหาคือสิ่งที่เราพยายามทำอยู่ตอนนี้คือการสร้างองค์ความรู้ การตระหนักรู้ที่ถูกต้อง วันนี้ประชาชนส่วนมากยังเข้าใจว่าความงามเป็นเรื่องผิวเผิน มองเป็นเรื่องเล่นๆ สั่งสารอะไรต่างๆ มาฉีดกันเองบ้าง ให้เพื่อนฉีดให้บ้าง มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แล้วพวกเราก็แก้ปัญหากันทุกเวลา.