นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เปิดเผยว่า กำลังซื้อในช่วงปลายปีนี้ ที่เหลือเพียงเดือน ธ.ค. เป็นเดือนสุดท้ายของปี 2567 แล้ว แต่ต้องยอมรับว่ากำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวเลย สะท้อนจากยอดจองล่วงหน้าตามร้านอาหารที่เดิมมีการจองเพื่อจัดเลี้ยงในโอกาสเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 นี้ ก็ไม่มียอดจองเข้ามา จากเดิมที่ควรจะเห็นแล้วตั้งแต่ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ จึงมองว่ารัฐบาลควรมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เป็นแรงส่งไปยังต้นปี 2568 ไม่ใช่ออกมาตรการหรือกฎเกณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายให้ชะลอตัว ทั้งยังเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการมากขึ้นอีก

ทั้งนี้ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา เคยส่งเสียงถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว ว่าควรออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายมากขึ้น เตรียมไว้ก่อนถึงสิ้นปีเลย ผ่านมาตรการที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ คือตัวมาตรการลดหย่อนภาษี ทั้งคนธรรมดาที่ไปใช้บริการร้านอาหาร สามารถลดหย่อนภาษีในปี 2568 ได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาท ส่วนนิติบุคคลเมื่อมีการจัดเลี้ยงหรือสัมมนาในร้านอาหาร สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1 แสนบาท แต่จนถึงตอนนี้รัฐบาลยังไม่มีมาตรการออกมา เนื่องจากมองว่าในช่วงปลายปี ถือเป็นช่วงเทศกาลในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งความจริงแล้วเข้าสู่ช่วงเทศกาลก็จริง แต่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ปกติ และมีความซบเซา เมื่อไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ทำให้เศรษฐกิจซึมลากยาวยิ่งกว่าเดิม

“เรื่องนี้ได้เคยเตือนรัฐบาลแล้วว่าควรต้องเร่งออกมาก่อนเข้าปลายปี เพราะหากไม่มีอะไรมากระตุ้น คนจะยิ่งไม่จับจ่ายใช้สอย เพราะกลัวว่าปลายปีไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหรือบริษัท จึงพยายามระมัดระวังในการใช้จ่าย ยกตัวอย่างเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ร้านอาหารต่างๆ บ่นอย่างต่อเนื่องว่าไม่มีการจองล่วงหน้าเข้ามา ทั้งที่ความจริงแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายน จะต้องมีการจองล่วงหน้าแล้ว เพื่อให้ทันจัดภายในช่วงเดือนธันวาคมจนถึงปลายเดือน” นายสรเทพ กล่าว

นายสรเทพ กล่าวว่า เมื่อสะท้อนเสียงไป จะมีเสียงค้านว่า ร้านอาหารแบบนั่งในร้านเงียบก็จริง เพราะสมัยนี้ลูกค้าสั่งกลับไปทานที่บ้านกันหมด ทำให้ยอดการสั่งซื้อผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนนี้อยากให้ไปดูการสำรวจจากศูนย์วิจัยกสิกรที่ออกมาบอกว่า การสั่งอาหารทางออนไลน์เห็นยอดคำสั่งที่ลดลงเช่นกัน เพราะคนรัดเข็มขัดมากขึ้น กำลังซื้อหายไป สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือรัฐบาลต้องเร่งอัดเงินเข้ามาให้ตรงจุด ไม่ใช่การโยนเงินไปในระบบผ่านแจกเงิน 1 หมื่นบาท ที่ทำออกมาแล้วก็เห็นอยู่ว่ามันเงียบไปเลย ไม่ได้หมุนเป็นพายุทางเศรษฐกิจอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้ แล้วจะมาแจกเงินให้กลุ่ม ผู้สูงวัย 1 หมื่นบาทอีก ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนชรา โดยธรรมชาติแล้วเมื่อได้เงินมาจะไม่นำเงินไปใช้จ่ายแน่นอน มีแต่เก็บ หรือมากสุดก็ให้ลูกหลานไปใช้แทน การออกมาตรการแจกเงินจึงถือเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่ตรงจุดเท่าที่ควร