หลังแกนนำพรรคฝ่ายค้าน “ประชาชน” (ปชน.) ยืนยันชัดว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่วางใจรัฐบาล ภายใต้การนำของ “น.ส. แพทองธาร ชินวัตร” กลางเดือนธ.ค.67 หลายคนเลยต้องมาลุ้น จะมีประเด็นอะไรบ้าง ที่ฝ่ายตรงข้ามจะนำมาตรวจสอบ ซึ่งการอภิปรายไม่วางใจ ถือเป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุด หลายครั้งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทุจริตและคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้

ขณะที่ “นายณัฐวุฒิ บัวประทุม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคปชน. ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการยื่นอภิปรายรัฐบาล ว่า เราเห็นแล้วว่า มีข้อมูลอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องมีการมาพูดคุยและสอบถามรัฐบาล เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สถานการณ์ภัยพิบัติ เขากระโดง และอีกมายมาย ซึ่งนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะนัดหมายหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมด มาพูดคุยกันอย่างเป็นทางการว่าเราจะใช้ช่องทางใดในการดำเนินการยื่นอภิปราย โดยช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีคำตอบที่ชัดเจน
“ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายทั่วไป การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือแม้กระทั่งการประชุมลับนั้น จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2568 อย่างแน่นอน” นายณัฐวุฒิ กล่าว

เชื่อว่า ประเด็นในเรื่องการบริหารจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจ น่าจะเป็นประเด็นหลัก ที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมารัฐบาลก็มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร หลัง”นายพิชัย ชุณหวชิร รอง นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง” ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องการปรับขึ้นแวต(ภาษีมูลค่าเพิ่ม) 15 % นำมาสู่กระแสต่อต้านอย่างกว้างขวาง ทำให้”น.ส.แพทองธาร ชินวัตร”นายกฯ ต้องออกมาชี้แจง ภายหลังหารือกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ ผ่านทางโพสต์เฟซบุ๊กและทวิตข้อความผ่าน X ว่า 1. ไม่มีการปรับ VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 15% 2. กระทรวงการคลังกำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นอกจากนี้ “นายจิรายุ ห่วงทรัพย์” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ยังออกมาชี้แจงถึงโครงการเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปีจะได้เมื่อไหร่ว่า สัปดาห์ที่แล้ว ที่แล้วมีเรื่องเข้ามาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีข้อสังเกตบางอย่างช้าไปสัปดาห์หนึ่งแต่ชัวร์ แต่คาดว่าไม่น่าจะเกินไปกว่าเดือนก.พ. 2568 ดังนั้นฝากบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าเฟส 2 มาแน่แต่ขอปรับอะไรอีกนิดๆ หน่อยๆ เพื่อที่จะได้นำพาและแจกให้กับประชาชนคุณพ่อคุณแม่ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ยังไงก็ชัดเจน ส่วนโครงการเงินหมื่นเฟส 3 ยังต้องรอติดตามต่อไป แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเฟส 1 มีแล้ว เฟส 2 มีแล้ว แล้วเฟส 3 จะไม่มีได้อย่างไร

ด้าน “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้ความเห็นกรณีกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายรัฐบาลช่วงต้นปี 2568 ว่า ยังไม่ทราบว่าอภิปรายอะไรก่อน เพราะมีข่าวทั้งจะให้เปิดสภาฯพูดเรื่องเอ็มโอยู 44 เขากระโดง หรืออะไรต่างๆ เขามีสิทธิจะทำ แต่ต้องมาเจรจากับวิปรัฐบาลว่าจะพูดอะไรอย่างไร ตอนแรกบอกจะพูดเรื่องเอ็มโอยู และอีกสองอาทิตย์เรื่องอภิปรายรัฐบาล ซึ่งก็ไม่รู้จะอภิปรายอะไรก่อนกันแน่ ตอนนี้ยังไม่มีการเจรจาว่าจะพูดอะไร “ทุกเรื่องรัฐบาลพร้อมไม่มีอะไรเป็นข้อกังวล แต่ต้องทราบก่อนว่าจะขอเปิดอภิปรายอะไร หลังเปิดสภาฯวันที่ 12 ธ.ค.น่าจะได้เจอแล้วพูดกันอย่างเป็นทางการ ยืนยันเราพร้อมรับทุกเรื่อง รัฐบาลตอบได้หมด แต่การจะพูดอะไรไปถึงประเทศเพื่อนบ้านก็อยากให้ระมัดระวังสิ่งที่พูดว่าจะกระทบความสัมพันธ์หรือไม่ เรื่องอื่นไม่มีปัญหารัฐบาลพร้อมตอบทุกเรื่อง ส่วนจะเร็วไปหรือไม่นั้น เราไม่ไปคิดแทนเขาเพราะรัฐบาลพร้อมตลอดเวลาไม่มีอะไรน่ากังวล” นายวิสุทธิ์ กล่าว
ขณะที่ “นายนพดล ปัทมะ” สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย(พท.) ให้สัมภาษณ์กรณี ฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายรัฐบาลช่วงต้นปี 2568 ว่า แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เนื้อหา และข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า แต่เท่าที่ดูยังไม่เห็นประเด็นที่มีน้ำหนักมากเพียงพอ ต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่รธน.ให้สิทธิในการอภิปรายปีละครั้ง ฝ่ายค้านก็คงใช้สิทธิ รัฐบาลและพรรคพท.มองเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าฝ่ายค้านจะยื่นก็พร้อมตอบคำถาม และการใช้กลไกสภาฯสอบถามรัฐบาลย่อมดีกว่าไปทำไอโอในโลกโซเชียล เห็นด้วยกับหยิบยกปัญหาต่างๆมาพูดในสภาฯ อย่างกรณีเอ็มโอยู 44 ประชาชนจะได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริง ไม่อย่างนั้นการทำไอโอบนโซเซียลเยอะ ถ้ามีโอกาสทำความจริงให้ปรากฏ ย่อมดีกว่าการเมินเฉย กับขับเคลื่อน ด้วยความเท็จบนโซเชียล เพราะความเท็จรับใช้คนบางกลุ่ม แต่ความจริงรับใช้ทุกคนในชาติ ใครมีข้อมูลอะไรได้นำมาตีแผ่ทุกฝ่ายต้องเห็นประโยชน์ชาติเป็นหลัก ไม่ใช่ทำเพื่อตอบสนองวาระการเมืองของตัวเอง.

เชื่อว่าต่อจากนี้ยู่ที่รัฐบาลคงต้องประเมินว่า ฝ่ายค้านจะมุ่งอภิปรายเรื่องอะไรเป็นด้านหลักซึ่งคงหนีไม่พ้นนโยบายด้านเศรษฐกิจ การแจกเงินหมื่น ซึ่งไม่ตรงปกกับที่หาเสียงไว้ รวมทั้งปัญหาที่ดินเขากระโดง หวังให้เกิดปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างพท.กับ พรรคภูมิใจไทย(ภท. ) แต่ที่ต้องลุ้นกันจะมีประเด็นเรื่องการทุจริตและคอรัปชั่นหรือไม่
ส่วนข้อเสนอให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 15% รัฐบาลก็ยังถูกตามขยี้อย่างต่อเนื่อง โดย “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก. ) ให้ความเห็นว่า ภาษีในประเทศมีมากมาย ทำไมต้องมาเจาะจงที่แวต ตนสนับสนุนให้มีการปฏิรูปภาษีทั้งระบบ ซึ่งต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าบริหารจัดการให้เพียงพอต่อทั้งประเทศและต้องเป็นธรรมอย่างไร แต่พอรัฐบาลบอกว่า 15 : 15 : 15

“คนที่ไม่เคยเสียภาษีในระดับ 15% ต้องมาเสีย 15% บริษัทนิติบุคคลที่เคยเสียภาษี 30% ก็ได้ลดสิ ใช่หรือไม่ เวลาหาเสียงขึ้นเวทีที่ไหน ไม่เคยได้ยินว่าให้เสียแวตเกิน 9% เท่าที่ผมจำได้ มีแต่ขึ้นทีละนิด เพื่อไม่ให้ลำบากประชาชนมากขึ้น พอไม่พูดทั้งระบบ แล้วมาเจาะจงที่แวต มันทำให้ผิดบริบทไป เพราะฉะนั้น ผมเห็นด้วยกับการปฏิรูปภาษีทั้งระบบทุกตัว ถ้าพูดทั้งระบบ แล้วมาอธิบายทีละอัน ผมคิดว่าก็จะไม่ได้รับการต่อต้าน” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวต่อว่า อยู่ดีๆ นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกฯและรมว.คลัง ก็โพล่งมาที่แวต 15% แล้ววันต่อมาก็เป็น 15 : 15 : 15 เลยทำให้ไม่ได้รับการตอบรับ อยากฝากไปถึงนายพิชัย และน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกฯ การปฏิรูปภาษีทั้งหมดต้องมองทั้งระบบ อย่าเจาะจงที่อันใดอันหนึ่ง จะทำให้ประชาชนสับสน นายพิชัยน่าจะดูค่าเฉลี่ยโลก โดยที่ไม่ได้ดูบริบทประเทศไทยหรือไม่ ขอให้โอกาสนายพิชัยได้อธิบายว่าทำไมต้อง 15% และต้องอธิบายให้มากขึ้นว่า การขึ้นภาษีแวต 15 % ลดความเหลื่อมล้ำอย่างไร รวมถึงแรงจูงใจในการลดหย่อนภาษีจะเอาอย่างไร ถ้าอธิบายเป็นระบบ แถลงแล้วจบ ก็ไม่สับสนเท่านี้ เมื่อถามว่าการเสนอลักษณะนี้ บ่งบอกได้หรือไม่ว่ารัฐบาลถังแตก นายพิธา กล่าวว่า ต้องถามรมว.คลัง ถามนายกฯ ถามรัฐบาลว่า ทำไมต้องขึ้นต้องขึ้น 15% แล้วภาษีตัวอื่นทั้งทางตรง และทางอ้อมจะทำอย่างไรต่อ

ส่วน “นายเทพไท เสนพงศ์” อดีตสส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวอีกว่า จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯไม่ได้รับรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น จึงไม่สามารถให้รายละเอียดกับผู้สื่อข่าวได้ จึงใช้วิธีการสื่อสารฝ่ายเดียวตามที่ปรากฏในเอ็กซ์หรือทวิตเตอร์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้ได้ข้อยุติว่ารัฐบาลเข้าเกียร์ถอย รัฐบาลยอมเสียหน้า ถอยไปตั้งหลักก่อน ส่วนคนที่เป็นหนังหน้าไฟ ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้เต็มๆ คือนายพิชัย ที่ออกมาเปิดเผยจนเป็นประเด็นข่าว ทั้งที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเคยพูดเรื่องนี้มาก่อนบนเวทีของนิตยสาร Forbes มาก่อนแล้ว
“ผมอยากเห็น น.ส.แพทองธาร ได้แสดงภูมิความรู้ด้วยการดีเบตเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล กับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน. ) เพื่อพิสูจน์ความรู้ความสามารถของคนเป็นนายกรัฐมนตรี หรือจะใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรตั้งกระทู้ถามสด และให้น.ส.แพทองธาร มาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง ห้ามมอบหมายหรือใช้ผู้อื่นมาตอบแทน เพื่อจะได้วัดกึ๋นความเป็นผู้นำประเทศของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายเทพไท กล่าว

ถือเป็นบทเรียนของรัฐบาล กับประเด็นการสื่อสารในเรื่องการขึ้นภาษี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหว และมีผลกระทบกับฝ่ายบริหาร
ขณะที่ “ร.ท.ธนเดช เพ็งสุข” สส.กทม. พรรคปชน. ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ของพรรคปชน. กล่าวถึงกรณีพรรคพท.เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมว่าเป็นเรื่องดี ที่นำร่างดังกล่าวเข้ามาประกบกับร่างของตน ที่กำลังจะนำเข้าสู่สภาฯ โดยเมื่ออ่านเนื้อหาร่างของพรรคพท. มีหลายเรื่องเห็นตรงกันกับร่างของพรรคปชน. แม้บางประเด็นยังเห็นต่าง แต่เชื่อว่าสามารถพูดคุยกันได้ในชั้นกรรมาธิการ(กมธ.) เช่นเสนอยกเลิกบอร์ดแต่งตั้งนายพล โดยร่างพรรคปชน.ให้อำนาจ รมว.กลาโหม ในการตัดสินใจรับผิดรับชอบต่อการแต่งตั้งนายพล ขณะที่ร่างพรรคพท.ต้องผ่านมติ ครม. ขณะที่จุดแตกต่าง เช่น ร่างพรรคปชน.เสนอลดบทบาทอำนาจสภากลาโหม ซึ่งองค์ประกอบปัจจุบันแทบทั้งหมดเป็นทหาร จากเดิมมีบทบาทอำนาจด้านการบริหาร เปลี่ยนเป็นคณะที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ส่วนพรรคพท.ไม่ได้เสนอประเด็นนี้
ร.ท.ธนเดช กล่าวต่อว่า แม้ก่อนหน้านี้ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 22 ต.ค.มีมติไม่รับหลักการร่างของตน แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาภาพรวม ร่างของพรรคปชน.กับร่างของพรรคพท.ไม่ได้ขัดแย้งกัน จึงไม่มีเหตุผลให้ปัดตก ดังนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกร่างจะผ่านสภาฯ วาระ 1 เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมให้โปร่งใส ทันสมัย และสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปกองทัพ

ก่อนหน้านี้ “นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท.) และคณะ ได้เสนอ ร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม โดยหลักบหลักการและเหตุผล ของการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าว ระบุว่า ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลที่ผ่านการพิจารณาจาก คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น เพราะมองว่า การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 แม้จะมีการแต่งตั้งกรรมการ ที่มี รมว.กลาโหม และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นกรรมการ แต่การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลมีการวางตัวบุคคล ที่เป็นพวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้สืบสายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อไป ซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่ มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ
ต้องรอดูท่าทีพรรคร่วมรัฐบาล และความเห็นของผบ.เหล่าทัพ จะมีท่าทีอย่างไร เพราะถือเป็นการลดอำนาจในการแต่งตั้ง ซึ่งจะมีผลต่อการบังคับบัญชากำลังพล จะทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำและมีผลกระทบกับรัฐบาลหรือไม่
“ทีมข่าวการเมือง”