“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” รายงานสถานการณ์เงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบประมาณ 1 เดือนที่ 33.95 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์ตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกและการอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียในภาพรวมท่ามกลางความกังวลต่อสัญญาณเตรียมเดินหน้ามาตรการกีดกันทางการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

ทั้งนี้ เงินบาททยอยแข็งค่ากลับมาในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยแข็งค่าหลุดแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 33.95 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่เงินดอลลาร์กลับมาเผชิญแรงขาย หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐหลายตัวออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด อาทิ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือน พ.ย. ที่เพิ่มน้อยกว่าคาด จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มมากกว่าคาด และดัชนี ISM ภาคบริการเดือน พ.ย. ที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด

เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้ประธานเฟดจะส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจของสหรัฐมีความแข็งแกร่งกว่าที่เฟดประเมินไว้ในเดือน ก.ย. ซึ่งน่าจะทำให้เฟดสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะถัดไปได้ก็ตาม

ในวันศุกร์ที่ 6 ธ.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.07 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 พ.ย. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 2-6 ธ.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,357 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 6,986 ล้านบาท (แบ่งเป็น ซื้อสุทธิพันธบัตร 7,490 ล้านบาท หักด้วยตราสารหนี้หมดอายุ 503 ล้านบาท)

สัปดาห์ระหว่างวันที่ 9-13 ธ.ค. ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.60-34.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือน พ.ย. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของญี่ปุ่น และตัวเลขเศรษฐกิจจีนเดือน พ.ย. อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ตัวเลขการส่งออก และยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเช่นกัน